ค่ายหมอยาเรียนรู้ชุมชน ครั้งที่ 14 ที่ดำเนินการโดยสโมสรนิสิตคณะเภสัชศาสตร์ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20-24 พฤษภาคม 2560 ณ บ้านหนองแสง ตำบลสงเปลือย อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นอีกค่ายฯ ที่มีกลิ่นอายของการประยุกต์ระหว่างกิจกรรมในชั้นเรียน (กิจกรรมในวิชาชีพ) กับกิจกรรมนอกชั้นเรียน (กิจกรรมนอกหลักสูตร) ได้อย่างน่าสนใจ
เป็นค่ายอาสาพัฒนาเล็กๆ ในแบบฉบับของการ “เรียนรู้คู่บริการ” ภายใต้ห้วงเวลา 5 วัน 4 คืน
จะว่าไปแล้ว ค่ายครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงค่ายอาสาพัฒนาที่เน้นการบริการสังคมทั่วๆ ไปเท่านั้น หากแต่เป็นค่ายฯ ที่จัดขึ้นตามระบบและกลไกของการบ่มเพาะคุณธรรม ที่ว่าด้วย "จิตอาสา : จิตสาธารณะ" ที่สัมพันธ์กับอัตลักษณ์การเป็นนิสิต (การช่วยเหลือสังคมและชุมชน) หรือแม้แต่ค่านิยมของนิสิต MSU FOR ALL (พึ่งได้) ที่หมายถึงเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพ พึ่งพาตนเองได้ และมีจิตสาธารณะในการช่วยเหลือสังคม หรือเป็นที่พึ่งพาของคนอื่นได้
ในทำนองเดียวกันก็ขับเคลื่อนเนื่องในวาระโครงการคุณธรรมจริยธรรมเฉลิมพระเกียรติ ระดับอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กับมูลนิธิเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งระยะหลังสโมสรนิสิตคณะเภสัชศาสตร์ ได้ปักธงให้ “ค่ายหมอยาเรียนรู้ชุมชน” เป็นกลไกหลักในการบ่มเพาะเรื่องคุณธรรมจริยธรรมแก่นิสิตในคณะ โดยใช้ชุมชนเป็นห้องเรียน ผ่านความเป็นค่ายอาสาพัฒนาที่เน้นการเรียนรู้คู่บริการ เป็นหัวใจสำคัญ---
บูรณาการกิจกรรม : จากวิชาชีพสู่กิจกรรมนอกหลักสูตรในแบบสหกิจกรรม
ค่ายครั้งนี้ยังคงดำเนินงานตามกรอบแนวคิดของปีที่แล้ว เรียกได้ว่า “ต่อยอด” จากปีที่แล้วก็ไม่ผิด กล่าวคือ เน้นกระบวนการเรียนรู้คู่บริการในแบบบูรณาการ หรือสหกิจกรรม เช่น
นอกจากนั้นก็เป็นกิจกรรมอื่นๆ ที่เรามักคุ้นชินในวิถีค่ายอาสาพัฒนาอยู่แล้ว เช่น การปรับปรุงภูมิทัศน์โรงเรียนด้วยการทาสีรั้ว การละเล่นกีฬาพื้นบ้านในแบบไทยๆ ที่เน้นเรื่องสุขภาพและการเชื่อมความสัมพันธ์ เช่น วิ่งเปี้ยว กินวิบาก
บูรณาการกิจกรรม : กระบวนการเรียนรู้คู่บริการแบบช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
ค่ายหมอยาเรียนรู้ชุมชน ครั้งที่ 14 ยังคงใช้กระบวนการเรียนรู้เหมือนค่ายครั้งที่ผ่านมา นั่นก็คือการ “เรียนรู้คู่บริการ” ที่หมายถึงเรียนรู้วิถีชุมชนไปพร้อมๆ กับการบริการสังคม
กระบวนการดังกล่าวเริ่มต้นจากการแบ่งนิสิตออกเป็นกลุ่มๆ จากนั้นก็ให้แต่ละกลุ่ม “เดินเท้าเข้าหมู่บ้าน” เพื่อจัดเก็บข้อมูลระบบสุขภาพชุมชน พร้อมกับการเรียนรู้บริบท หรือสภาพทั่วไปของชุมชน ผ่านเครื่องมือสำคัญๆ เช่น แผนที่เดินดิน ปฏิทินชุมชน ระบบสุขภาพชุมชน
ผมมองว่าประเด็นนี้น่าสนใจมาก เพราะนิสิตได้ฝึกฝนทักษะการเก็บข้อมูลชุมชนอย่างมีระบบแบบแผน มีเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อมโยงให้เห็นโครงสร้างทั้งหมดของชุมชนที่ยึดโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบการกินการอยู่ การศึกษา ความเชื่อ ค่านิยม อาชีพ จารีตประเพณี ซึ่งทั้งปวงล้วนมีผลต่อระบบสุขภาพของชาวบ้านอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่ที่ผมชอบมากก็คือในวันแรก นิสิตไม่ได้รีบร้อนที่จะจัดเก็บข้อมูลใดๆ มากนัก ตรงกันข้ามกลับเน้นการเดินเท้าเข้าหมู่บ้านเพื่อพบปะทักทายชาวบ้านอย่างทั่วถึง เน้นการ “ฝากเนื้อฝากตัว” พร้อมๆ กับประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่จะมีขึ้นในแบบ “ตัวต่อตัว”
เรียกได้ว่า ไม่รีบไม่ร้อนจนเกินงาม ประหนึ่งกลยุทธการ “ใจเย็นๆ” เหมือนสำนวน “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาน” นั่นแหล่ะ
ไปเอาจริงเอาจังก็วันที่สองโน่นเลย คือการตะลุยเก็บข้อมูลชุมชนผ่านระบบและกลไกของ “ลูกหลาน” หรือ “ลูกฮัก-พ่อฮัก-แม่ฮัก”
ครั้นได้ข้อมูลกลับมาก็นำมาจัดหมวดหมู่ -
แต่ละกลุ่มนำข้อมูลมาเทียบเคียงเข้าด้วยกัน ช่วยกันขบคิดวิเคราะห์ ประมวลออกมาจัดทำเป็นสื่อเพื่อสะท้อนคืนให้กับชุมชน หรือที่เราเรียกว่า “คืนข้อมูล” ให้ชุมชนนั่นเอง
กระบวนการคืนข้อมูลนั้น มิใช่การสื่อสารจากนิสิตเพียงฝ่ายเดียว (สื่อสารทางเดียว) แต่เน้นกระบวนการมีส่วนร่วม โดยกระตุ้นให้ชุมชนได้ร่วมวิพากษ์ข้อมูลทั้งหมดแบบไม่ปิดกั้น มีทั้งข้อมูลที่ถูกตัดทอนออกไป และเติมเต็มข้อมูลเข้ามาใหม่ –
ถัดจากนั้นจึงนำข้อมูลทั้งหมดมาออกแบบสู่การจัดกิจกรรมบริการสังคม ซึ่งทั้งปวงล้วนฉายให้เห็นภาพการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรในมิติของการเรียนรู้คู่บริการอย่างน่าชื่นชม
จากข้อมูลสู่การปฏิบัติการ : บริการ (วิชาการ) แก่สังคมบนฐานใจ
จะว่าไปแล้ว ค่ายหมอยาเรียนรู้ชุมชน ครั้งที่ 14 เป็นค่ายที่มีกลิ่นอายทางวิชาการอยู่ค่อนข้างมาก เพราะเป็นกิจกรรมที่ต่อยอดจากข้อมูลอันเป็นสถานการณ์ของชุมชน
ข้อมูลเหล่านั้นต่างถูก “คลี่” หรือ “ออกแบบ” บนความเป็นวิชาชีพของชาวเภสัชศาสตร์ (หมอยา) อย่างไม่ต้องสงสัย ยกตัวอย่างเช่น
กิจกรรมที่กล่าวถึงข้างต้น ล้วนเป็นความรู้และทักษะเฉพาะทางของนิสิต หรือที่เราเรียกว่าเป็นทักษะในทางวิชาชีพที่ร่ำเรียนในหลักสูตร (Hard skills) แล้วประยุกต์สู่การให้บริการสังคมบนฐานความรู้ของนิสิต โดยมีอาจารย์ทำหน้าที่เป็น “โค้ช” คอยกำกับหนุนเสริมอยู่ใกล้ๆ
เสมือนการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นแลปก็ไม่ผิด หากแต่เป็นการเรียนรู้คู่บริการบนฐานใจ (จิตอาสา : จิตสาธารณะ) มิใช่การใช้ชุมชนเป็นห้องทดลอง หรือหนูลองยาเหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ
อุปสรรคและความสำเร็จ
ค่ายครั้งนี้เป็นอีกค่ายที่สะท้อนให้เห็นปัจจัยความสำเร็จและปัจจัยอันเป็นอุปสรรค-ปัญหาอยู่หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นที่ชาวค่ายฯ หยิบยกมาสื่อสารก็คือปัญหาของการใช้ภาษาระหว่างนิสิตกับชาวบ้าน ซึ่งภาษาที่นิสิตใช้สื่อสารกับชาวบ้าน คือ “ภาษาไทยกลาง” ขณะที่ชาวบ้านกลับพูดด้วย “ภาษาอีสาน” โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ต่างติดขัดกับการพูดและฟัง “ภาษาไทยกลาง” เป็นอย่างยิ่ง
ปัญหาดังกล่าว ผมไม่ได้มองว่าเกิดขึ้นแต่เฉพาะค่ายนี้ ส่วนใหญ่ก็พบเจอในทุกค่ายของนิสิต จนผมต้องย้ำนักย้ำหนาว่าให้เรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ให้มากๆ ถึงขั้นแซวนิสิตที่เป็นคนอีสานแท้ๆ ว่า “ไปค่ายก็อย่าลืมภาษาค่ายแบบบ้านๆ ด้วยล่ะ” เพราะหากละเลย หรือไม่ตระหนักในเรื่องภาษาก็อาจนำมาซึ่ง “ช่องว่าง” หรือแม้แต่ “ความเหลื่อมล้ำ” ระหว่างนิสิตกับชาวบ้านอย่างคาดไม่ถึง...
เช่นเดียวกับการบอกย้ำว่า “เราสามารถเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมชุมชนผ่านภาษาได้เป็นอย่างดี เพราะภาษาคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นชาติพันธุ์-อัตลักษณ์ของชุมชน”
ในส่วนของความสำเร็จที่ผมมองว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ควรตระหนักก็คือความร่วมไม้ร่วมมือของชุมชนผ่านระบบพ่อฮัก-แม่ฮักที่นิสิตและชุมชนได้ออกแบบร่วมกัน
เช่นเดียวกับการใส่ใจดูแลของผู้นำชุมชน ทั้งที่เป็นนายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาลฯ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพฯ ซึ่งเป็นภาพแห่งการทำงานแบบมีส่วนร่วม ยึดโยงความเป็นเครือข่ายทั้งระหว่างนิสิตกับชุมชนและส่วนราชการ หรือแม้แต่ระหว่างชุมชนกับส่วนราชการในท้องถิ่นนั้นๆ ก็ด้วยเช่นกัน
หรือแม้แต่กิจกรรม “ตุ้มโฮมพาแลง” ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกที่น่าสนใจ เพราะในค่ำคืนสุดท้ายนิสิตกับชาวบ้านก็รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน กล่าวคือพ่อฮัก-แม่ฮัก หรือชาวบ้านทั่วไปต่างช่วยกันทำและนำอาหารมาร่วมรับประทานกับนิสิต -
กิจกรรมเช่นนี้ได้สื่อให้เห็นวิถีน้ำใจของชุมชน สื่อให้เห็นถึงธรรมเนียมของการต้อนรับขับสู้แขกบ้านแขกเมืองบนฐานใจ เฉกเช่นวาทกรรมการพัฒนาที่ผมได้ยินจนชินหูมาตั้งแต่เด็กๆ ดังว่า
และอีกเรื่องที่อดสื่อสารไม่ได้เลยก็คือ ... ก่อนการเดินทางกลับมายังมหาวิทยาลัย นิสิตทุกคนต่างใส่ใจต่อการจัดเก็บสถานที่คืนกลับภาพเดิมให้มากที่สุด เหมือน “อยู่บ้านท่านไม่นิ่งดูดาย” นั่นแหละ
มีทั้งการจัดโต๊ะเก้าอี้ ล้างห้องน้ำ เก็บขยะ - ซึ่งผมมองว่านี่คืออีกปรากฏการณ์หนึ่งของการชี้ชัดว่านิสิตมี “วุฒิภาวะ” ที่น่ายกย่องไม่แพ้การมีจิตอาสาในการบริการสังคม
ท้ายที่สุดนี้ ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่า ค่ายครั้งใหม่ (ค่ายหมอยาเรียนรู้ชุมชน ครั้งที่ 15) จะปักหมุดในพิกัดใด รูปแบบจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ความสำเร็จจะถูกต่อยอดกี่มากน้อย และอุปสรรค-ปัญหาเดิมๆ จะได้รับการแก้ไขและข้ามพ้นไปอย่างสง่างามหรือไม่
แต่วินาทีนี้ บอกได้เต็มปากเต็มคำว่า "ชื่นชม และให้กำลังใจ นะครับ"
...
หมายเหตุ
เขียน : วันที่ 15 พฤศจิกายน 2560
ภาพ : สโมสรนิสิตคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ชื่นชมอาจารย์นะครับ
สวัสดีครับ
พี่ แสงแห่งความดี...
ดังที่เราทราบกันดีว่านิสิตหลักสูตรเภสัชศาสตร์ ค่อยข้างเรียนหนัก เวลาว่างก็จำกัด แถมยังต้องเคร่งเครียดกับการสอบใบประกอบวิชาชีพ จะปลีกตัวมาทำกิจกรรมให้ต่อเนื่องก็ลำบากอยู่มาก หากพวกเขามองว่าเป็นความท้าทายในการเรียนรู้ชีวิตและท้าทายต่อการจัดการเวลา ก็น่าสนใจ
ยังดีหน่อยครับ ยังมีกิจกรรมนอกหลักสูตรในทางวิชาชีพที่น้องๆ เหล่านี้ได้จัดกิจกรรมร่วมกันผ่านการ "บริการสังคม" อย่างมีระบบแบบแผน มีเครื่องไม้เครื่องมือในการขับเคลื่อน ผลพวงเชิงสร้างสรรค์ก็ได้ทั้งนิสิตและชุมชน ถึงแม้เด็กกลุ่มนี้จบไปจะมีแนวโน้มไม่มากนักที่ไปทำงานในชุมชนทุรกันดาร แต่กระบวนการค่ายเช่นนี้ ก็มีพลังมากพอต่อการให้เขาได้นำไปใช้ในการทำงานในวิชาชีพและใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย ....
นั่นคือสิ่งที่ผม เชื่อ เสมอมา ครับ
เป็นค่ายที่งดงาม ดีต่อนิสิตและชุมชนมากเลยครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ครับ อ.ดร.ขจิต ฝอยทอง
ค่ายนี้มีความน่าสนใจ คือการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานในแบบ "เรียนรู้คู่บริการ" และเป็นการบริการเชิงวิชาชีพที่มีกลิ่นอายคล้ายการบริการวิชาการในแบบฉบับของ "นิสิต"