วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๐ มีการประชุมประจำปีของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ซึ่งมีรายละเอียดของการประชุมในเว็บไซต์ ที่นี่
ผมได้รับเชิญไปบรรยายเรื่อง ข้อเรียนรู้จากโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาเพื่อนโยบายการศึกษาสำหรับคนไทย ๔.๐ ใช้เวลา ๓๐ นาที จึงนำ PowerPoint ที่ใช้ประกอบการบรรยายมา ลปรร. ที่นี่ โดยดูไปพร้อมกับฟังเสียงบรรยาย ที่นี่
ก่อนการบรรยายของผม เป็นรายการ เรื่องเล่าผสมสื่อ “การเรียนรู้บนเส้นทางสายเพาะพันธุ์ปัญญา” เล่าเรื่องราวหลักการและการดำเนินการของโครงการได้ชัดเจนมากในเวลา ๑ ชั่วโมง
ในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ผมได้รับอีเมล์ดังนี้
ถึงทุกท่าน
ในนามพี่เลี้ยงทุกศูนย์ ผมขอขอบคุณ สกว. และคุณหมอวิจารณ์ ที่ช่วยให้งานเมื่อวันเสาร์ลุล่วงไปด้วยดี
ที่ส่งต่อท้ายมานี้เป็นข้อเขียนสรุปการเรียนรู้การเป็นครู พพปญ. เชิงประจักษ์ในตัวครู ที่ปรากฏใน Facebook มันทำให้เราเห็นผลของกระบวนการที่หลากหลายในนั้น อยากให้คนที่คิดโครงการคูปองครูได้ทราบว่า การพัฒนาครูไม่ใช่ event ของหลักสูตรที่เสนอเข้ามาทุกทิศทางอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ ความสำเร็จอยู่ที่ครูเป็นผู้ถูกฝึกในหน้าที่ครู อยู่ที่งานในโรงเรียน อยู่ที่ความต่อเนื่องที่มีพี่เลี้ยงช่วย coach อยู่ที่การมีงานให้นักเรียนทำ (RBL) แล้วให้ครูเรียนรู้ไปพร้อมกับนักเรียน อยู่ที่ผู้บริหารสนับสนุน ฯลฯ
ขอขอบพระคุณโรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน ผู้บริหารทุกท่านที่ได้ให้โอกาสได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของประเทศไทย
จากเวทีเพาะพันธุ์ปัญญาสำหรับเด็กไทย 4.0 และรางวัลครูปัญญาทีปกร ด้าน " ครูผู้มุ่งมั่นสร้างคุณค่าทางจิตวิญญาณให้ลูกศิษย์" ที่ฉันได้รับและในฐานะครูแกนนำโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน ขอเล่าเรื่องราวที่ตกผลึกในความทรงจำและความคิดตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ทำงานในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาด้วยคาดว่าข้อเขียนต่อไปนี้จะเป็นรอยจารึกในการทำงานของโครงการนี้ที่สร้างปัญญาจากกระบวนการ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับการเรียนปริญญาอีกใบหนึ่งเพราะระยะเวลาสี่ปีนั้นเท่ากับเวลาที่ใช้เรียนในระดับการศึกษาหนึ่งๆเลยทีเดียว ผิดแต่ว่าในการทำโครงการในครั้งนี้ช่างเข้มข้นในเชิงปฏิบัติ งานที่หนักหนา ใจที่ตั้งมั่น ปัญหาที่เจอทุกปัญหามันเกิดขึ้นและได้ใช้ในชีวิตจริง สนามนี้ไม่ใช่สนามทดลองในความรู้สึก ถึงแม้เป็นการทดลองแต่กับทุกคนที่เกี่ยวข้องนั้นพบว่าผลของการทำงานนั้นเกิดขึ้นจริงและเชื่อว่าฝังรากลึกลงในจิตวิญญาณของครูและผู้ที่ทำงานในโครงการนี้ทุกคน สี่ปีที่ทำงานในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาของฉัน....
ปีที่ 1 ปีแห่งการหว่านเมล็ด เป็นห้วงเวลาที่ฉันได้เรียนรู้หลักการของโครงการฯเป็นปีที่ฉันได้ตระหนักในวิชาชีพครูที่มีคุณค่าต่อสังคมอย่างสูง ฉันได้เรียนรู้กระบวนการจิตตปัญญาซึ่งทำให้ฉันเกิดพัฒนาการในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน ฉันระลึกถึงห้องเรียนจิตตปัญญาศึกษา ฉันได้รู้จักกระบวนการ ได้มองเข้าไปและเห็นความสำคัญของจิตวิญญาณของตัวฉัน และผู้คน จากการทำกระบวนการในครั้งนั้น ฉันจำกิจกรรมหนึ่งที่ฉันร้องให้จากการฟังเรื่องราวของครูท่านหนึ่งในกระบวนการ deep listening และฉันได้เรียนรู้ว่าถ้าคุณต้องการให้ใครมีความสุขแค่คุณฟังเขาด้วยหูและหัวใจเท่านั้น อีกกระบวนการหนึ่งที่ประทับใจคือสัตว์สี่ทิศกระบวนการที่ทำให้ฉันรู้และเข้าใจในความแตกต่างของมนุษย์และพร้อมจะเดินไปกับความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความเมตตา
ฉันจำภาพเคลื่อนไหวในห้องอบรมวันแรก กับการสอนการคิดเชิงเหตุและผลของท่านอาจารย์สุธีระ ในครั้งนั้นฉันกระตือรือร้นสนุกไปกับการอบรมเชิงปฏิบัติการได้เรียนรู้การจัดกระบวนการในห้องเรียน การคิดเป็นลำดับเพื่อตรรกะที่ถูกต้อง
ในปีแรกฉันกับครูเพาะพันธุ์ปัญญากลุ่มหนึ่งได้ร่วมกันทำงานหนักกับการจัดกระบวนการให้นักเรียนห้อง 2/2 เราได้เรียนรู้เรื่องราวของชีวิตผ่านกลุ่มครูและนักเรียนในห้องเรียน ด้วยหัวใจของครูนักพัฒนาที่กล้าต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรคนานาอย่างไม่ยอมแพ้ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า"เราทำงานเพื่อเด็ก" ด้วยศรัทธาในหลักการของเพาะพันธุ์ปัญญาทำให้เราทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกันจนเกิดผลงานที่ภาคภูมิใจคือเราสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์ให้นักเรียนกลุ่มหนึ่ง และในครั้งนั้นฉันรู้แล้วว่าฉันมาถูกทาง ในเส้นทางของการพ้ฒนาคนคือการต้องอาศัยการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆอย่างบูรณาการ ความอดทน และต้องทำงานเป็นทีม ฉันเรียนรู้แล้วว่าการผ่านวิกฤติปัญหาต่างๆในช่วงปีแรกนั้นมีคุณค่าต่อการพ้ฒนาในด้านต่างๆสูงมากในเวลาต่อมา
ปีที่ 2 ต้นกล้าที่เติบโต ความสำเร็จที่เกิดจากการพ้ฒนานักเรียนปีที่ 1ทำให้เกิดองค์ความรู้และสร้างการตัดสินใจที่ประกอบด้วยข้อมูลรอบด้านที่เราได้เรียนรู้จากการทำงานในปีแรก ในปีที่ 2 เราได้ข้อคิดและวิธีการในการพ้ฒนานักเรียนได้พอสมควรแต่สิ่งที่ควรมีในการทำงานปีที่ 2 คือการนำเอาหลักการ ไม่ว่าจะเป็น การคิดเชิงเหตุผล การถามคือสอน การพาผู้เรียนทำงานวิจัยที่มีกระบวนการตามหลักการ โดยนักเรียนเป็นผู้วิจัย ปี 2 เราพยายามเรียนรู้เขียนผังเหตุผลแม้จะยากแต่อยากเรียนรู้และเข้าใจให้ได้เทียบเท่าท่านอาจารย์สุธีระ ครูเพาะพันธุ์ก็ได้แนวทาง แต่ละคนก็เก็บองค์ความรู้และประมวลผล ต่างคนต่างคิดแล้วนำเสนอเป็นแนวทางและวิถีของตนเอง แน่นอนว่าประสบการณ์การเรียนรู้ที่แตกต่างกันย่อมเกิดการคิดที่แตกต่างแต่เราได้เรียนรู้ว่าการทำงานด้วยความสัมพันธ์ที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้เพื่อเป้าหมายของพวกเรา ปี 2 เราทำโครงงานที่ละเมียดขึ้นการค้นคว้าหาความรู้จากขุมความรู้ทุกแหล่งได้รับการนำมาใช้การทำโครงงานของนักเรียนได้ใช้ความคิดเชิงเหตุผลและสร้างตรรกะที่ถูกต้องมากขึ้น
ปีที่ 3 ต้นกล้าที่กล้าแกร่ง ถ้าเปรียบเสมือนต้นไม้ปีนี้เพาะพันธุ์ปัญญาโตขึ้น รอดชีวิต และออกดอกออกผลให้รู้ได้ว่าในอนาคตโรงเรียน ชุมชน และสังคมได้เก็บเกี่ยวดอกผลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้แน่นอน โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาโรงเรียนจักรคำคณาทร ได้ทำงานต่อไปอย่างอดทนหรือจะเรียกได้ว่าก้มหน้าก้มตาทำงาน ด้วยความรู้สึกว่าเราต้องพัฒนาขึ้นให้ได้ ตอนนี้คู่แข่งไม่ใช่คนอื่นแต่เป็นตัวเองที่จะต้องพาหัวใจออกมาเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ต้องยกระดับความคิด แม้การอยู่นิ่งๆก็เป็นการทบทวนความคิดว่าเราคิดถูกหรือไม่ ความคิดในแนวที่เราคิดมันตอบโจทย์ในแนวทางที่ถูกต้องมั้ย ความคิดที่ผิดพลาดจะได้รับการค้นพบอย่างรวดเร็วด้วยการคิดเชิงเหตุผล โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาสร้างเป้าหมายและวิธีการให้เราเดินทางแต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นในการทำงานในโครงการนี้และชอบมาก คือความเป็นอิสระของวิธีการ การประมวลองค์ความรู้ในทุกขั้นตอนของการทำงานในโครงการทำให้ติดนิสัยนักคิดมาตลอดสี่ปี และสิ่งที่ตามมาคือการพยายามหาตรรกะที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่คิด ในปีที่ 3 นักเรียนโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาได้รับการพัฒนาอย่างเข้มข้นด้วยประสบการณ์ของครู การวางแผนการทำงานเป็นขั้นตอนได้นำมาใช้ในการเรียนการสอน ครูมองทะลุถึงเป้าหมายของผู้เรียนจนแทบอยากจะให้มีเวลาในการทำงานมากกว่านี้และเมื่อจบปีการศึกษา การสะท้อนคิดของนักเรียนต่อการทำโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาคือสิ่งที่ครูได้เห็นผลงานชิ้นเยี่ยม การพัฒนานักเรียนในปีที่ 3 นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
ปีที่ 4 ช่วงเก็บเกี่ยว ปีที่สี่ของการทำงานในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาความเครียดและความกังวลเริ่มผ่อนคลายลง การนำเอาประสบการณ์การพัฒนานักเรียนในปีที่ผ่านมานั้นส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนฉันได้เฝ้ามองผลผลิตของต้นกล้าที่แข็งแกร่งด้วยความภาคภูมิและสำนึกถึงบุญคุณของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา แม้ว่าโครงการนี้ตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาการศึกษาเพื่อการแก้ปัญหาทางการศึกษาของไทยแต่ด้วยวิธีการที่ได้รับการหล่อหลอมนั้นได้ส่งผลต่อการคิดและการดำเนินชีวิตส่วนตัวของครูและนักเรียนในโครงการอย่างสูง ผลที่ตามมาคือการได้รับการเชื่อถือในวิธีการของการทำงาน องค์กรสามารถพึ่งพาประสิทธิภาพและกระบวนการทำงานของครูและนักเรียนในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาเพื่อนำไปพัฒนาและแก้ปัญหาการเรียนการสอนได้ต่อไป
ขอขอบพระคุณโรงเรียนจักรคำคณาทร ผู้บริหารทุกท่านที่ได้ให้โอกาสได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของประเทศไทย
ขอขอบพระคุณ ท่านอาจารย์สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ท่านอาจารย์ไพโรจน์ คีรีรัตน์ ศาสตร์ที่อาจารย์ได้ส่งมอบให้ครูและนักเรียนนั้นได้นำไปใช้ด้วยความตั้งใจ ต่อไปนี้จะแตกดอกออกผลพัฒนาต่อไปด้วยจิตสำนึกด้วยความรับผิดชอบต่อปัญหาการศึกษาไทยเหมือนที่ท่านอาจารย์ทั้งสองได้ตั้งใจทำงานนี้ให้พวกเราเห็นและท่านได้ยืนหยัดด้วยความมุ่งมั่น ประสบการณ์ทั้งมวลที่ท่านอาจารย์ได้ให้นั้นได้ถูกนำไปใช้แล้วในสี่ปีที่ผ่านมาและประจักษ์ชัดในวิธีการเหล่านั้นว่าได้ผลมากมายและเป็นรูปธรรม
ขอขอบพระคุณศูนย์พี่เลี้ยงมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ท่านอาจารย์ชุติมา คำบุญชูและคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิท่านได้เป็นกัลยาณมิตรและตัวอย่างที่ดีในการนำทีมพวกเราทำงานด้วยการประสานงานที่ยอดเยี่ยม ศูนย์พี่เลี้ยงได้ดูแลและเอาใจใส่จนพวกเรามีพลังใจในการทำงานฮึดสู้ทุกครั้งเมื่อเจอปัญหาและตั้งหลักต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคได้เพราะกำลังใจจากคณะอาจารย์ศูนย์พี่เลี้ยง
ขอขอบพระคุณธนาคารกสิกรไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ทุนวิจัยที่ท่านได้ให้กับโครงการเพาะพันธุ์ปัญญานั้นจะได้รับการสานต่อปณิธานและเป้าหมายที่มีคุณค่า จุดนี้จะเป็นก้าวที่จะเดินนำการศึกษาไทยเพื่อการสร้างสังคมที่ดีขึ้นในอนาคต สิ่งตอบแทนที่ครูจะคืนให้ได้คือการสร้างคนเพื่อก้าวเข้าใกล้สังคมในอุดมคติให้มากที่สุด
--
สุธีระ ประเสริฐสรรพ์
คณะวิศวกรรมศาสตร์
ม. สงขลานครินทร์ หาดใหญ่ สงขลา 90112
ต่อมา อ. พิทักษ์ โสตถยาคม แห่ง สพฐ. ได้ส่งอีเมล์ตอบ ดังนี้
เรียน อาจารย์สุธีระ และอาจารย์ ทุกท่าน
อาจารย์คิดว่าเป็นไปได้ไหม และจะทำให้สิ่งที่อาจารย์ปั้นแต่งมา "เสียของ" หรือไม่ครับ ...ผมลองคิดต่อจากสิ่งที่พบในวันเสาร์ครับ
ขอบคุณครับที่ให้ร่วมเรียนรู้
พิทักษ์
ดร. สุธีระตอบดังนี้
คุณพิทักษ์
เราตั้งเป้าว่าอีก 2 ปีที่เหลือใน phase 2 จะสร้างโรงเรียนที่เป็นต้นแบบ 16 โรง คำว่าโรงเรียนต้นแบบไม่ได้คาดหวังว่าจะทำทั้งโรงเรียน เพราะไม่มีทางทำได้ในบริบทที่เป็นอยู่
การที่ ผอ. เอาด้วยก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ทั้งโรงเรียน บางแห่งครูข้างในรวมตัวกันค้าน ผอ. อยากทำก็ทำไม่ได้ มีตัวอย่างมาแล้วในโรงเรียน พพปญ เอง เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานครูทั้ง 100% เพราะนอกจากระบบในโรงเรียนไม่เอื้ออย่างว่าแล้ว ระบบนอกโรงเรียนก็ทำให้มีความไม่แน่นอนสูงมาก โรงเรียนที่จะทำได้ดีนั้นต้องมี chain of command สั้น และส่วนหัวเห็นชอบให้ทำเรื่องนี้ มันคือโรงเรียนเอกชน ที่มีความหวังมากที่สุดคือกลุ่มคริสต์ คงสังเกตุเมื่อวันเสาร์แล้วว่า sister จากนารีวิทย์มาด้วย ท่านนี้เข้า workshop ผมทุกครั้งที่มีโอกาส มีจิตใจเปิดกว้าง แม้ว่า workshop ผมจะแฝงปรัชญาพุทธศาสนา ท่านก็ร่วมอย่างกลมกลืน วันก่อนผมไปดูโรงเรียนฉือจี้ที่ไต้หวัน ซึ่งเป็นมหายานชัดเจน เขาบอกว่ากลุ่มที่มาดูมีโรงเรียนกลุ่มคาทอลิกที่เอาจริง กลุ่มคริสต์เขามีเป้าหมายสร้างคนดีมีคุณธรรมซึ่งเป็นส่วนของศาสนาเขาที่ชัดมากในการพัฒนามนุษย์ เขาแยกศาสนาออกจากการศึกษาได้ดีมาก
กลุ่มรองลงไปคือ อบจ. วันเสาร์มีคนที่รับผิดชองการศึกษาของ อบจ. ศรีสะเกษอยู่ตลอด เขาเสนอลงทุนด้วยทรัพยากรเขาเอง เสนอขอทำ MoU กับ สกว.
มันแสดงถึงการมีส่วนร่วมของข้างบนครับ ในระบบ สพฐ. ถ้าข้างบนไม่มาเรียนรู้จะไม่เข้าใจ เรื่องการพัฒนาครูและนักเรียนของ พพปญ. มันมีรายละเอียดลึกซึ้งอีกมาก ที่การแสดงเรื่องเล่าเมื่อวันเสาร์ยังไม่มีเวลาพอให้ถ่ายทอด
ถ้าคิดว่าสามารถช่วยได้ ผมขอให้ช่วยกลุ่ม 16 โรงเรียนเป้าหมายของผมดีไหม สร้างให้อยู่ที่โรงเรียน สนับสนุนเขาให้ขยายผลในโรงเรียนได้เต็มที่ ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนจาก สพฐ. อย่างมาก อย่างนี้ดูเหมือนจะเป็นหนทางที่น่าจะสำเร็จมากที่สุด จากนั้นใช้โรงเรียนเหล่านี้ขยายผล เราจะมี 4 โรงในแต่ละภูมิภาค ตอนนี้มีความต้องการสูงมาก วันเสาร์ผมได้รับการติดต่อจากครูหลายคน อยากให้มีพี่เลี้ยงในพื้นที่ช่วยเขา
ที่ สกว. คิดว่าจะทำคือขยายไปเป็นภารกิจของอุดมศึกษา รมต.คนเก่ามีนโยบายไว้ มีเงินให้ด้วย แต่ปล่อยเรื่องวิธีการให้เป็นความเชี่ยวชาญของอุดมศึกษา ซึ่งไม่พ้นทำเรื่องเก่าๆ ไม่มีใครเข้าใจ RBL แบบ พพปญ. สักแห่ง หาก 2 แท่งการศึกษาเข้าใจตรงกัน มันจะง่ายขึ้นอีกมาก ทั้ง 2 แท่งมีงบมากมาย ไม่ใช่เรื่องขาดแคลนแต่อย่างใด ทำได้ แต่ต้องมาเรียนรู้จริงๆ ก่อน วิธีเรียนที่ดีที่สุดคือลองมาทำเองกับทีมพี่เลี้ยงที่ผมมีอยู่ เอามหาลัยพี่เลี้ยง 2 แห่งในแต่ละภาคมาเป็นต้นแบบให้มหาลัยอื่นเรียนรู้จากการปฏิบัติเพิ่มอีก 10 แห่ง ไม่เกิน 2 ปี การใช้งบประมาณพัฒนาการศึกษาก็จะมีประสิทธิผลมากขึ้น
เรื่องที่เป็นปัญหา คือ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์จะยอมมาเรียนรู้ไหม ไม่เพียงเรียนรู้จากพี่เลี้ยงคณะอื่นเท่านั้น แต่ต้องยอมเรียนรู้จากครูโรงเรียนเล็ก ๆของพพปญ. ด้วยนะ ผมยังคิดว่ายาก ในที่สุดไม่พ้นเอาคณะอื่นมาทำ ซึ่งก็ขัดแย้งกับภารกิจของคณะเขา ดังนั้นต้องขับเคลื่อนผ่านงาน social engagement ของคณะอื่นๆ ในมหาวิทยาลัย เรื่องนี้ต้องไปคุยกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยและสภามหาวิทยาลัยเรื่อง SE อีก
จะเห็นว่าระบบมันทั้งซับซ้อน ขัดกันเองมากมาย การทำขนาดใหญ่แบบที่ท่านรองนายกฯ พูดนอกรอบในห้องรับรองจึงไม่ง่ายหรอก ที่น่าเสียดายคือโครงการคูปองครู มันไม่ควรให้เป็นหลักสูตรที่ครูมาเข้าอบรมเพื่อนับชั่วโมง แทนที่ให้เงินครูไป shop ตามใจชอบ มันต้องจัดการอย่างมียุทธศาสตร์ ไม่เช่นนั้นหลักสูตรที่ขายดีที่สุดจะเป็นหลักสูตรการทำผลงานวิชาการ และอีกหลายเรื่องที่ผลประโยชน์ตกที่ครู ไปไม่ถึงนักเรียน เป็นไปไม่ได้ที่อบรมแล้วครูทำเองต่อที่โรงเรียนได้ดี เพราะขาดระบบสนับสนุนต่อเนื่อง โครงการ TC ที่ว่าสนับสนุนไม่ทราบว่าตอนนี้ผลต่อเนื่องเป็นไง มันต่างกับ พพปญ. ที่เรามีงานที่เป็นจุดร่วมเรียนรู้ทั้งครูและนักเรียน คือ โครงงานฐานวิจัย
ผมคิดว่า สกว. (อ. ไพโรจน์ และผม) ยินดีที่จะมีเวลาคุยกับคนที่เกี่ยวข้องจริงๆ ของสพฐ. เรื่องนี้ ไม่ใช่ประชุม แต่ต้องเป็น workshop ของ พพปญ. ลองปฏิบัติเอง ผมขอ 3-4 วันเต็มๆ บวกกับดูงานจริงที่โรงเรียน คุยกับครู นักเรียน และผู้ปกครอง เอาไหม
วิจารณ์ พานิช
๒๕ มี.ค. ๖๐ ปรับปรุง ๒๘ มี.ค. ๖๐
[file ppt]
[audio]
ไม่มีความเห็น