โสภณ เปียสนิท
นาย โสภณ เปียสนิท ตึ๋ง เปียสนิท

​ลดโลกร้อนด้วยธรรม


โสภณ เปียสนิท

...........................................

ฝนตกกลางฤดูร้อนคราวนี้ ทำให้ดูเหมือนว่า การผันเปลี่ยนของฤดูกาลไม่เป็นไปตามที่เคยเป็น หลายคนอาจมองว่า มันไม่เป็นปกติแบบนี้มานานจนเป็นเรื่องปกติไปนานแล้วนี่นา นั่นก็ว่ากันไปจนเถียงไม่ออกบอกไม่ถูก คิดย้อนกลับไปถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลนั้น มีส่วนมาจากคนเรา ขาดศีลธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ การขาดศีลธรรมของคนจนเป็นอาจิณ ทำให้จิตใจของคนไม่สะอาด เมื่อลมหายใจไม่สะอาดผ่านศูนย์กลางกายของแต่ละคนมากเข้า ทำให้เกิดความร้อนจากใจของคนเชื่อมโยงกับบรรยากาศรอบๆตัวของแต่ละคน ก่อให้เกิดความร้อนในบรรยากาศมากขึ้น

ความวิปริตของบรรยากาศ จึงมีส่วนที่มาจากความวิปริตจากใจของคนเรานี่เอง คิดเห็นตามหลักการทางพระศาสนาแล้วทำให้รู้ว่า โลกเรากำลังจะเปลี่ยนไปในทางร้อนรนมากขึ้นแน่นอน เพราะคนเราทุกคนบนโลกใบนี้ กำลังพอกพูนกิเลสให้มากขึ้น เหมือนก่อกองไฟขึ้นสามกอง ราคัคคิ ไฟคือราคะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ต่างคนต่างช่วยกันเติมเชื้อไฟเข้าไปคนละหน่อย คนบนโลกใบนี้จำนวน ราว เจ็ดพันล้านคน หมายถึงไฟเจ็ดพันล้านกอง คูณด้วยสาม โลกของเราจึงเหมือนอยู่ท่ามกลางกองเพลิง ยี่สิบเอ็ดพันล้านกองด้วยกัน

โชคยังดีที่ยังมีคนดี คือคนที่ถือศีลถือธรรมเจริญเมตตาภาวนาแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั่วโลกอยู่ทุกเมืองเชื่อวัน เสมือนมีน้ำเย็นแห่งเมตตาธรรมค้ำจุนโลกด้วยการราดรดลงบนกองฟืนอันร้อนเร่าทุรนนั้น แม้นไม่ถึงกับดับไฟในกองเพลิงเหล่านั้นได้ แต่ก็พอจะทำให้เย็นลงได้บ้างตามสมควร เพราะสงฆ์องค์เณรสมณชีพราหมณ์เหล่านั้นได้ช่วยกันแผ่เมตตาแด่โลกอย่างไม่มีประมาณ ใช่ครับ โลกเย็นลงด้วยความดีงามของท่านเหล่านี้

ดังนั้น การที่เราเห็นคนเขาทำความดีไม่ว่าจะเล็กๆน้อยๆ สักขนาดไหนเพียงไร หน้าที่ของเราก็คือต้องช่วยกันอนุโมทนาและหาทางส่งเสริมให้พวกเขาเหล่านั้นเร่งทำความดีให้มากขึ้น แผ่เมตตาให้แก่โลก แก่เราให้มากขึ้น เพราะนั่นคือการทำให้โลกนี้เย็นลงด้วยน้ำมือของเราเอง

ตัวเราเองเมื่อรู้ดั่งนี้แล้ว เมื่อหาทางช่วยเหลือส่งเสริมท่านเหล่านั้นแล้ว ก็ควรที่จะเร่งทำความดีด้วยการประพฤติปฏิบัติตามสมณชีพราหมณ์ผู้มีคุณธรรมเหล่านั้น เพื่อช่วยท่านดับเพลิงสามกองนั้นด้วย ตามแต่กำลังศรัทธาเท่าที่เราจะทำได้ คำถามคือเราได้ทำตามหลักการทั้งสองอย่างแล้วหรือยัง หรือเราอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม

ฝ่ายตรงข้ามกับการดับเพลิงทั้งสามกองคือการเพิ่มเชื้อไฟแห่งกิเลสสามกองดังว่ามา เราเพิ่มเชื้อแห่งราคะหรือโลภะอยู่ทุกเมื่อทุกวันจนติดเป็นนิสัย เราเพิ่มเพลิงแห่งความหลงอยู่ทุกวัน เราเพิ่มเชื้อแห่งโทสะอยู่ทุกวัน จนเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของกองเพลิงเชื้อไฟเติมให้โลกเร่าร้อนอย่างไม่หยุดหย่อนผ่อนคลายลงบ้างเลย เราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกร้อน ร้อนเพราะเพลิงกิเลสสามกองดั่งที่ว่ามา

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นมุมมองของพระศาสนาตามที่ได้ศึกษามา เขียนถึงตรงนี้แล้วนึกถึงความเป็นคนมีจิตใจดีงามและส่งเสริมโลกเย็น หรือพยายามทำให้โลกเย็นลง เพราะคนสมัยก่อนมีจิตใจละเอียดอ่อนกว่าคนสมัยนี้ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพราะมีตัวอย่างของคนที่ต่างพยายามช่วยกันลดโลกร้อนในเชิงพระศาสนา ขอยังไม่พูดถึงการลดโลกร้อนตามหลักการแห่งโลกไว้ก่อน หลักการทางพระศาสนาการลดโลกร้อนเน้นไปที่ความดี ความดีที่มาจากจิตใจอันสงบงาม

เริ่มจากเรื่องชาดกตามที่เคยอ่านมาหลายเรื่องที่เล่าเกี่ยวกับอดีตชาติของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งมั่นบำเพ็ญธรรม ศึกษาธรรม เมื่อต้องการศึกษาพระธรรมใดๆ จะให้ความเคารพยกย่องคนที่จะกล่าวธรรมให้แก่ตนด้วยการ ให้อาบน้ำ สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่อย่างงามแต่งเติมด้วยน้ำอบน้ำหอม จัดเตียงตั่งอาสนะอันสูงกว่าคนฟังไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีสถานภาพต่ำต้อยกว่าตนก็ตามที อย่างนี้เรียกว่าผู้ใฝ่ธรรม วันหน้าจะนำเรื่องชาดกเหล่านี้มาเล่าสู่กันฟัง

ต่อมาเรื่องของพ่อเจ้าอยู่หัว พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อท่านยังไม่มีสมณชีพราหมณ์ที่น่าเคารพกราบไหว้บูชา ท่านทรงเครื่องอาภรณ์ด้วยชุดขาวแสดงธรรมเอง เพื่อเป็นการประกาศหลักการทางพระศาสนาแก่ประชาชนผู้สนใจในธรรมได้ฟังกัน เมื่อทราบว่ามีพระเจ้าพระสงฆ์จากศรีลังกามาอยู่ที่จังหวัด นครศรีธรรมราช จึงส่งทูตให้มาอาราธนานิมนต์พระสงฆ์จากนครศรีธรรมราชให้ไปอยู่อาศัยในบ้านเมืองของท่าน จัดหาวัดให้อยู่อาศัยอย่างดีด้วยความเคารพในธรรม อำนวยความสะดวกให้พระศาสนารุ่งเรืองสถิตย์สถาพรขึ้นที่กรุงสุโขทัยอย่างยั่งยืนสืบต่อมา

มาถึงพ่อเจ้าอยู่หัวพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านก็ยกเอาพระศาสนามานำหน้าการเมือง เพื่อส่งเสริมให้คนเป็นคนดีเป็นหลักใหญ่ในการร่วมแรงร่วมใจกันโดยเอาพระศาสนาเป็นแก่นแกนของชาติ โดยพระองค์เองตั้งใจศึกษาพระธรรมกัมมัฏฐานอย่างมากจนมีพระทัยฝักใฝ่ในธรรมอย่างลึกซึ้ง ทรงทำนุบำรุงพระศาสนาจนค่อยๆ กลับคืนสู่ความก้าวหน้าอีกครั้ง อ่านได้จากบทกวีที่บันทึกไว้ว่า “อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา แด่ศาสนา สมณะ พุทธโคดม ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี สมณะพราหมฌ์ ชีปฏิบัติ ให้พอสม เจริญสมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชม ถวายบังคม แทบบาท พระศาสดา คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา พระพุทธศาสน์ อยู่ยง คู่องค์กษัตรา พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน” พระองค์เองก็จะนั่งใจโบสถ์สวดมนต์เจริญภาวนา เพราะมีความเชื่อมั่นว่า คนเราจะเคลื่อนย้ายขึ้นอยู่กับจักรราศี 12 ราศี พระองค์จึงทรงสร้างเสาใหญ่ในอุโบสถ 12 เสา โดยแบ่งตามราศี ในแต่ละเสายังมีปริศนาธรรมซ่อนไว้แต่โบราณ มีขนาดใหญ่สามคนโอบ ซึ่งโบราณถือว่า "คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนถึงจะสบาย"

อ่านแล้วเห็นถึงน้ำพระทัยของพระองค์ที่ต้องการลดเพลิงสามกองลงอย่างเห็นได้ชัดเจนดี เมื่อล่วงเลยมาจนถึงรัชการที่หนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตั้งพระราชปณิธานไว้สามประการ ดังปรากฏในนิราศรบพม่าท่าดินแดงว่า “ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี” ถ้าจะแยกพระราชปณิธาน ก็จะได้เป็น ๒ หมวดใหญ่คือ การภายนอก ได้แก่การป้องกันขอบขัณฑสีมา การภายในได้แก่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และการปกครองประชาชน พระราชปณิธานทั้ง ๒ ประการนี้แสดงให้เห็นน้ำพระทัย ที่ยืดมั่นในบวรพระพุทธศาสนา และพระอัจฉริยภาพในการปกครองของพระองค์ ทั้งแสดงว่าได้ทรงเห็นเหตุการณ์ จำเป็นในภายหน้าอย่างถ่องแท้ทุกด้าน ที่จะต้องปฏิบัติ เพื่อความตั้งมั่นเจริญวัฒนาของสยามประเทศต่อไป

เลยมาถึงรัชที่สองก็ทรงสร้างวัด ทรงถือว่า วัดอรุณราชวรมหาวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาล ทรงมีความผูกพันกับพระศาสนามิใช่น้อย รัชกาลที่สามทรงมุ่งมั่นในการสร้างวัด แม้ข้าราชบริพารท่านส่งเสริมให้สร้างวัด อุปถัมภ์บำรุงวัดอย่างมาก เพื่อช่วยให้ประสกนิกรของพระองค์ร่มเย็นเป็นสุข พระองค์ทรงให้มีการซ่อมแซมพระนอนวัดโพธิ์จนกลายเป็นหลวงพ่อพระนอนที่สวยงามที่สุดในประเทศ หรือในโลกก็กล่าวได้

ล่วงเลยมาถึงรัชกาลที่สี่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่นานถึง 27 พรรษา ครั้งลาเพศบรรพชิตเพื่อมารับราชบัลลังก์แล้วยังทรงส่งเสริมกิจการพระศาสนาสืบต่อมาจนเป็นที่เลืองลือ โปรดให้สร้างพระมหาเจดีย์ไว้ที่วัดโพธิ์ท่าเตียน เป็นองค์ที่สี่ เรียกว่า เจดีย์สี่รัชกาล และดำรัสให้หยุดสร้างพระมหาเจดีย์ไว้ที่วัดโพธิ์ด้วยพระองค์เองเพราะเกรงว่า จะเป็นการเบียดเนื้อที่ของวัดมากเกินไป

รัชกาลที่ห้า ทรงมีพระดำริให้สร้างวัดเบญจมบพิตรฯ ทรงศึกษาพระศาสนาให้การอุปถัมภบำรุงอย่างดีจนมีความเชี่ยวชาญเรื่องพระพุทธศาสนาอย่างดี ครั้งหนึ่งพระองค์เสด็จพระดำเนินไปเป็นประธานในงานเกี่ยวกับพระศรีอริยเมตไตรแห่งหนึ่ง เมื่อมีการกราบบังคมทูลเชิญพระองค์ให้ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนไตร พระองค์ทอดพระเนตรไปที่โต๊ะหมู่บูชาไม่เห็นพระพุทธรูป ทรงตรัสถามว่า พระพุทธรูปอยู่ไหน มีผู้ทูลตอบว่า งานนี้เป็นงานของพระศรีอริยเมตไตร จึงมีรูปพระศรีอริยเมตไตรแทนแล้ว พระองค์ทรงตรัสว่า มะม่วงยังไม่สุกอย่าเพิ่งนำมากิน ไปนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ก่อน จึงเป็นที่ทราบกันว่า พระองค์ทรงเชี่ยวชาญด้านพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

ล่วงเลยมาจนถึงรัชกาลแห่งสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยิ่งทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกอย่างยอดเยี่ยมยิ่ง เห็นได้จากการสร้างบารมีธรรมของพระองค์ เห็นได้จากการเข้าหาพระเจ้าพระสงฆ์หลวงปู่หลวงตาตามชนบทห่างไกล ขอให้พระองค์ทรงทราบว่า เป็นผู้อยู่ในศีลในธรรมเป็นต้องเสด็จไปกราบไหว้บูชา โดยมิได้ถือพระองค์ มีภาพเหล่านี้อยู่มากมาย พร้อมทั้งมีหลักธรรมที่พระองค์ทรงสนทนากับพระเถรานุเถระเหล่านั้นอย่างลึกซึ้งยิ่ง บางครั้งเกินกว่าพุทธศาสนิกชนทั่วไปจะเข้าใจตามได้ สิ่งใดเล่าที่ทำให้พระองค์เสด็จไปกราบพระสงฆ์เหล่านั้นได้โดยสนิทพระทัย เพราะพระองค์เข้าถึงธรรมในพระศาสนาอย่างดีนั่นเอง

เท่าที่จำได้ว่า พระเถระสามารถลดโลกร้อนได้ด้วยการกำหนดจิตแผ่เมตตาให้น้ำให้ฝนแก่โลกได้อย่างง่ายดาย เช่นครั้งหนึ่งเมื่อตอนหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์ใกล้ดับขันธ์ ร่างกายของท่านเสื่อมโทรมตามกาลเวลา ท่านถามโยมใกล้ชิดว่า น้ำในสระของวัดพอใช้กันไหม ญาติโยมตอบว่า น้ำไม่พอ หากฝนไม่ตกอีกไม่ถึงเดือนน้ำจะหมดแล้ว ท่านพยักหน้ารับทราบ แล้วให้ศิษย์นำผ้าจีวรมาห่มให้ท่าน ห่มเสร็จแล้วท่านนั่งหลับตาสักครู่เดียว เกิดฟ้าฝนคะนองตกลงมาอย่างหนักเกินกว่าชั่วโมงจนน้ำเต็มสระ ญาติโยมมัวแต่ดีใจว่าได้น้ำแล้ว ไม่อดน้ำแล้ว หันกลับมาดูหลวงพ่อ ปรากฏว่า ท่านมรณภาพเสียแล้ว

ครั้งเมื่อหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญยังดำรงธาตุขันธ์อยู่ ศิษยานุศิษย์ทางจังหวัดสุพรรณบุรี บ้านเกิดของท่านมาแจ้งข่าวว่า ทางโน้นฝนไม่ตกต้องตามฤดูกลาง ขาดน้ำขาดท่าจนข้าวจะตายหมดแล้ว ขอให้หลวงปู่ช่วยอนุเคราะห์ด้วย หลวงปู่บอกว่า ขอให้ทุกคนช่วยกันไหว้พระ สวดมนต์ รักษาศีลกันให้หมดทุกคน ไม่นานฝนจะตกต้องตามฤดูกาลเอง เมื่อญาติโยมกลุ่มนั้นกลับไปไม่นาน ฝนกลับมาตกอย่างหนักจนข้าวปลาสมบูรณ์อีกครา ผมเล่าเรื่องเหล่านี้ ด้วยความเชื่อว่า เมื่อใดที่มีการบำรุงพระศาสนาส่งเสริมวัด ส่งเสริมคนดี ให้ทำความดี เมื่อนั้นสังคมร่มเย็น แต่เมื่อใดคนด่าวัด ทำลายวัด ปิดวัด เห็นว่าวัดมิใช่วัด ไม่ส่งเสริมวัด ไม่นานบ้านเมืองเดือดร้อนสาหัสแน่นอน

หมายเลขบันทึก: 626842เขียนเมื่อ 3 เมษายน 2017 10:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 เมษายน 2017 10:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

-สวัสดีครับอาจารย์

-ตามมาอ่านบันทึกด้วยความอบอุ่นใจครับ

-อาจารย์สบายดีนะครับ?

-ด้วยความระลึกถึงอาจารย์ครับ


ขอบคุณครับ ยังสบายดี

ยินดีที่แวะเวียนทักทายกันเสมอ

หาซื้อมีดพร้าแบบนี้ได้ที่กาญจนบุรีบ้างหรือเปล่าครับ

สวัสดีค่ะ ท่านอ.โสภณ เปียสนิท..ตอนนี้ ยายธีโคจรมาอยู่แถวหาดนมสาว สามร้อยยอด..คุณมะเดื่อ..อยากให้เราๆมาเจอะเจอกันอีก..ยายธีคิดว่าวันที่5..มาทานข้าวกลางวันกันไหมคะ..ถ้าไม่ไกลเกินไปและยังอยู่หัวหิน น่ะค่ะ..ชวนเชิญ..ค่ะ..

ยายธี
อยากไปใจังครับยายธี
แต่ผมติดสอนช่วงนักศึกษาใกล้สอบ
งานจึงยุ่งและพันพัวกันไปหมด
จนยากจะแกะเกาออกไปได้
ไม่อย่างนั้นผมจะโดนข้อหาหนัก
ทิ้งนักศึกษาช่วงสำคัญ
จึงขออภัยมา ณ ที่นี้

ด้วยความนับถือจ้า
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท