ในมุมมองของ คุณเดชา ศิริภัทร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนาเรื่อง การจัดการความรู้กับสังคมไทย ของการจัดเวที “ตลาดนัดเครือข่ายการจัดการความรู้” โดยมูลนิธิข้าวขวัญ จังหวัดสุพรรณบุรี ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 นั้นสรุปเนื้อหาสาระได้ว่า.....
คุณเดชา ศิริภัทร
ผู้สนับสนุนการปฏิบัติงาน “การจัดการความรู้” ที่เป็นครูของมูลนิธิข้าวขวัญก็คือ อาจารย์หมอวิจารณ์ พานิช ส่วนลูกศิษย์ที่เกิดขึ้นแลมีอยู่เป็นตัวตนของมูลนิธิข้าวขวัญก็คือ นักเรียนโรงเรียนชาวนา
สิ่งที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนชาวนา จังหวัดสุพรรณบุรี มี 3 หลักสูตร ได้แก่ โรคแมลง การจัดการดิน และการพัฒนาพันธุ์ข้าว แต่ได้มีผลที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดก็คือ “ศักดิ์ศรีของการเป็นชาวนา” ที่กลับคืนและฟื้นสู่ประเพณีดั้งเดิมของท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ กว่าเทคนิคที่ถ่ายทอดให้กับชาวนา
“ใน 2 ปี ที่ผ่านมาของการจัดการความรู้ของจังหวัดสุพรรณบุรีนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง?” คำตอบที่เกิดขึ้นได้มาจากการสังเกต และการเรียนรู้สองทาง ที่เป็นผลมาจากการสร้างอะไรที่ใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรียกว่า “นวัตกรรม” แปลว่า การกระทำสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็น “นวัตกรรมโรงเรียนชาวนา” จนได้รับผลคือ ได้รับรางวัล...งานวิจัย ดีเด่น...จาก สกว. ภายใต้เกณฑ์การคัดเลือกหลัก ๆ ได้แก่ 1) เป็นนวัตกรรม 2) มีผลเกิดขึ้น 3) มีผลกระทบต่อส่วนรวม และ 4) อื่น ๆ
ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เรียนรู้เรื่อง การจัดการความรู้ (KM) ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่ของปูนซีเมนต์ แก่งคอย จังหวัดสระบุรี ได้ส่งบุคลากรไปเรียนรู้กับชาวนา ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็คือ เจ้าหน้าที่วาดรูปข้าว แมลง และรูปอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำอาชีพของชาวนาเป็น ส่วนคำตอบว่า “ทำไม? ปูนซีเมนต์...ถึงมาเรียนรู้ที่มูลนิธิข้าวขวัญ” ก็เพราะว่า “เรามีนวัตกรรมจำนวนมาก” ได้แก่ เรื่องการคัดพันธุ์ข้าวกล้อง เรื่องการเก็บดินเพื่อดูจุลินทรีย์ เรื่องโรคแมลง และอื่น ๆ โดยนวัตกรรมเหล่านี้เราทำกันเอง แต่นวัตกรรมเหล่านี้ไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นสิ่งของที่เราทำกันมาแล้วหรือเรามีกันอยู่แล้ว ไม่ต่ำกว่า 99 %
ฉะนั้น “การจัดการความรู้” จึงนำเข้ามาใช้จัดการกับสิ่งที่เรายังทำไม่ได้ ความรู้เก่าที่มีอยู่เรานำมาใช้แก้ปัญหาไม่ได้ โดย เราเพียงแต่นำความรู้ที่มีอยู่ (เก่า) มาใช้เป็นฐานแล้วนำความรู้ใหม่มาต่อยอดหรือพัฒนาภายใต้สภาพแวดล้อมใหม่ จึงกลายเป็น “นวัตกรรม” ตัวอย่างของการเผยแพร่และประยุกต์ใช้นวัตกรรมก็คือ ปูนซีเมนต์ นำจุลินทรีย์ไปใช้ฟอกน้ำเสีย
การสรุปผลที่เกิดขึ้นของการจัดการความรู้ที่ได้ทำมาด้วยตนเองโดยค้นพบว่า
1) การจัดการความรู้เป็น “ธรรมชาติ” ถ้าใครทำถูกต้องก็จะได้นวัตกรรม และจัดการความรู้เป็น
2) การจัดการความรู้เป็น “Synergy” หมายความว่า 1+1 ต้องมากกว่า 2 คือ เมื่อรวมกันแล้วต้องแก้ปัญหาได้ เป็น “อภิชาติผล” หรือ “อภิชาตกรรม” ถึงจะเรียกว่า “จัดการความรู้เป็น”
3) เกิดการเปลี่ยนแปลงของ “กระบวนทัศน์” ถึงจะเรียกว่า “จัดการความรู้เป็น”
ดังนั้น การจัดการความรู้ทำให้เกิดนวัตกรรม มีการเผยแพร่ และเกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ ที่เป็นธรรมชาติของ KM ถึงจะเรียกว่า “จัดการความรู้เป็น”
ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นว่า “เราจะรู้ได้อย่างไรว่า...ใครจัดการความรู้เป็น หรือทำเป็นแค่งู ๆ ปลา ๆ แล้วเที่ยวโฆษณาว่า...ตนเองมีความรู้ความเข้าใจและจัดการความรู้เป็นหรือทำ KM เป็น” ทีนี้เราก็ได้คำตอบที่เป็นข้อสรุปของผู้ที่ลงมือทำ KM ด้วยตนเองและค้นพบด้วยตนเอง แล้วนำมาสรุปเป็นองค์ความรู้ของตนเองได้อย่างแจ่มชัดกันแล้วนะค่ะ.ไม่มีความเห็น