เช้าวันหยุดที่เรารอคอยมาตลอดสัปดาห์ก็มาถึง เราทานอาหารเช้าที่คอฟฟี่ช้อปใกล้บ้านก่อนที่จะขับรถตรงไปยังเขตสงวนธรรมชาติ Bukit Timah Nature Reserve ที่คุ้นเคย ขณะนี้ที่นี่คือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่เราชอบมากที่สุด เพราะที่นี่มีสภาพเป็นป่าดั้งเดิมที่มีสภาพเหมาะสำหรับการฝึกฝนการเดินป่าที่ใกล้บ้านที่สุด และที่สำคัญเรารู้ว่าเราต้องการพลังการเยียวยาจากป่าอย่างที่สุดหลังจากการใช้ชีวิตทำงานในเมืองมาตลอด 5 วัน
เราออกเดินประมาณสิบโมงเช้า ใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมงตามเส้นทางเดินทุกเส้นทางขึ้นลงดอยเล็กๆ แห่งนี้ ถึงจะทั้งร้อนและเหนื่อย แต่เราก็รู้สึกผ่อนคลายและไม่มีเรื่องราวใดมากวนใจให้รู้สึกรำคาญเลย
ขณะที่อยู่บนเส้นทางเดินหนึ่ง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินสวนทางมาคงเห็นฉันถือกล้องถ่ายรูปอยู่ จึงบอกฉันว่าเขาเห็นนกเค้าตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ในเส้นทางใกล้เหมืองหินที่เขาเดินผ่านมา ฉันกล่าวขอบคุณที่อุตส่าห์บอกให้ทราบ ซึ่งฉันจะได้ตามหา (แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ)
หลายๆ ครั้งที่มีคนยิ้มให้และกล่าวทักทาย ในยามที่เดินสวนทางกัน จนบางครั้ง say hello กลับแทบไม่ทัน บอกตรงๆ รู้สึกไม่คุ้นชินนัก เพราะเวลาเราอยู่ในเมือง เราแทบไม่เคยยิ้มให้คนแปลกหน้ากันเลย
ในเส้นทางเดินที่แคบ ผู้คนก็จะเลี่ยงหรือเปิดทางให้คนอื่นเดินก่อน หรือบางทีเวลาพบเจอสิ่งที่น่าสนใจ (เช่นบางคนที่ไม่เคยเห็นตัวเหี้ยมาก่อน) ก็จะบอกต่อๆ กันแบบตื่นเต้น ๆ
ในขณะที่เราหยุดพักหลังเดินขึ้นเขาอย่างเหน็ดเหนื่อย มีกลุ่มเดินป่านั่งพักอยู่ก่อนแล้ว เขาเอ่ยถามว่าเราต้องการน้ำไหมเพราะเขาเตรียมมาหลายขวดมาก เราตอบกลับอย่างสุภาพว่าเราเตรียมมาเพียงพอพร้อมขอบคุณ
ฉันได้ยินใครบางคนเอ่ยปากเตือนคนที่เดินสวนทางมาให้รัดสายรองเท้าที่หลุดลุ่ยให้แน่นเพราะอาจสะดุดและหกล้มได้
คนข้างกายเปรยว่าอาจเป็นเพราะบรรยากาศของป่าที่สงบและผ่อนคลายจึงทำให้ผู้คนที่มาเดินป่า ดูแตกต่างไปจากผู้คนที่เราพบเห็นในวันปกติมากมายนัก เพราะแทบทุกวันที่เราเดินทางบนท้องถนน จะพบเห็นและเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องหงุดหงิดใจเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งที่จอดรถ การปาดหน้าแบบกระชั้นชิด การจอดขวางการจราจรทำให้ผู้อื่นต้องเลี่ยงทางให้ การใช้แตรโดยไม่จำเป็น การขับรถประมาทและไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรด้วยความเห็นแก่ตัว ฯลฯ
เมื่อมาอยู่สิงคโปร์ใหม่ๆ คุณพ่อของคนข้างกายเคยสอนฉันตามประสบการณ์และความเชื่อของคนจีนที่มาจากแผ่นดินใหญ่ว่า ในป่าเราอาจจะหาต้นไม้ตรงๆ ได้เจอสักต้น แต่ในเมืองนั้นจะหาคนที่ซื่อตรงจริงๆ นั้นยาก ดังนั้นจึงต้องระวังการใช้ชีวิตในเมืองให้มาก วันนี้หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะบอกท่านยามนั่งจิบน้ำชาด้วยกันว่า นอกจากในป่าจะมีต้นไม้ตรงๆ มากมายแล้ว ในป่ายังมีน้ำใจของผู้คนมากกว่าบนท้องถนนในเมืองอีกด้วย
หรือจะเป็นเพราะพลังการเยียวยาอันลึกลับของป่า ที่ทำให้คนที่ไปที่นั่นสูญเสียอัตตาและกลับกลายเป็นคนที่มีศักยภาพที่จะนึกถึงและอาทคนอื่นกันอีกครั้ง?
ขอให้ทุกวันเป็นวันที่เราพบเจอน้ำใจในทุกๆ ที่ค่ะ
เอาความสดชื่นของป่ามาฝาก เผื่อจะช่วยให้ใจชุ่มชื่นไปนานๆ ค่ะ