รูปแบบการสร้างพระมงคลมิ่งเมือง ช่างได้ไปถ่ายแบบจากพระพุทธชินราช ซึ่งสร้างในสมัยกรุงสุโขทัย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ พระวิหารหลวง
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก และได้มากำหนดให้องค์พระมีขนาดหน้าตักกว้าง ๙ เมตร (๔ วา ๒ ศอก)
สูงจากฐานหรือแท่นประทับนั่งจรดยอดพระเกตุมาลา ๑๑ เมตร ๔ เซนติเมตร (๕ วา ๒ ศอก ๑ คืบ ๔ นิ้ว) ฐานแท่นประทับกว้าง ๕ เมตร สูง ๕ เมตร
อุปกรณ์ที่ใช้สร้างพระมงคลมิ่งเมือง ประกอบด้วย หิน กรวด ทราย ปูนซีเมนต์ เหล็กขนาด ๓-๖ หุน กระเบื้องเคลือบสีเหลือง (สีทอง) ขนาดกลักไม้ขีดไฟ ใช้ปิดทองที่องค์พระ งบประมาณที่ใช้ในการสร้างประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีนายคำเม้า ภักดีปัญญา ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นช่างฝีมือควบคุมการสร้าง
สถานที่จัดสร้างตั้งอยู่กลางสันภูดานพระบาท เป็นลานหินขนานกัน ๒ ข้าง มีเนื้อที่กว้างประมาณ ๓๖ ไร่ สภาพแวดล้อมเป็นภูเขาลูกเตี้ยๆ
ความสูงจากระดับพื้นดินประมาณ ๑๓ เมตร มีต้นไม้ขนาดใหญ่ปกคลุม มีความสงบร่มเย็น มีสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ ต.บุ่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ และติดกับทางหลวงแผ่นดินสายจังหวัดอุบลราชธานี-มุกดาหาร
การกราบขอพรจากองค์พระมงคลมิ่งเมือง ส่วนมากนิยมขอพรให้คลายความทุกข์โศกร้อนใจ และบนบานให้ประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ
ทั้งนี้ ทุกวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชาของทุกปี ชาวอำนาจเจริญจะพร้อมใจจัดงานกราบนมัสการเป็นเวลา ๕ วัน ๕ คืน
ดังนั้น ผู้คนที่เคยเดินทางมากราบไหว้ขอพรหรือบนบานไว้ จะพากันเดินทางมากราบนมัสการและแก้บนในช่วงวันดังกล่าวจำนวนมาก
การกราบไหว้บูชา "พระมงคลมิ่งเมือง” หรือ "พระใหญ่” เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ตัวและครอบครัว เป็นมงคลชีวิตดีนักแ
พุทธอุทยาน
และ พระมงคลมิ่งเมือง
ตั้งอยู่ที่เขาด้านพระบาทห่างจากตัวเมืองไปทางด้านเหนือประมาณ 3 กิโลเมตร
บริเวณวัดประกอบด้วย หินด้านธรรมชาติร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด
ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้เป็น พุทธอุทยาน สวนพระมงคลมิ่งเมือง หรือพระให้
ป่างมารวิชัย องค์พระหน้าตักกว้าง 11 เมตร
ความสูงจากระดับพื้นดินถึงยอดเปลวรัศมี
20เมตรเป็นพระพุทธรูปที่ได้รับอิทธิพลสกุลศิลปอินเดียเหนือ (ป่าละ)
ที่แผ่อิทธิพลมายังภาคอีสานของไทย เมื่อพันปีเศษออกแบบโดยจิตรบัวบุศย์
โดยการก่อสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็กครอบพระองค์เดิมซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นมีฐานกว้าง 8.4 เมตร ยาว 12.6 เมตร สูง 5.2 เมตร แล้วแต่งองค์พระด้านนอกด้วยกระเบื้องโมเสคสีทองสร้างเมื่อปี พ.ศ.2508 เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของ ชาวจังหวัดอํานาจเจริญและจังหวัดอุบลราชธานี
พระมงคลมิ่งเมือง เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามประจําภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทางด้านหลังของพระมงคลมิ่งเมืองมีพระพุทธรูปลักษณะแปลกอีก 2 องค์ ห่มจีวรเหลืองลออตา มีนามว่า พระละฮาย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พระขี่ลาย หมายถึง ไม้สวย ไม้งาม โดยเรียกตามรูปลักษณ์ขององค์พระพุทธรูปโบราณ พบในหนองน้ำเมื่อปี พ.ศ. 2505 ครั้งที่มีการปรับปรุงบริเวณโดยรอบเพื่อทําฝายกั้นน้ำ ถือกันว่าเป็นพระที่ให้โชคลาภ ชาวบ้านมักมาบนบานขอพรอยู่เสมอ
<p “=””>ทัศนศึกษาจุดที่ ๒
</p>
<p “=””>บ้านนาจอกหรือบ้านลุงโฮหรือที่มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่าบ้านท่านโฮจิมินห์
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่ที่ได้มีการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ซึ่งสถานที่แห่งนี้นั้นเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งอดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
นายโฮจิมินห์ได้เคยเข้ามาอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แห่
งราชอาณาจักรไทย
เพื่อกอบกู้เอกราชของเวียดนามในช่วงระหว่างการทำสงคราม ช่วงระหว่างปี พ.ศ.
2467–2474
ลุงโฮได้ย้านมาอยู่ที่จังหวัดนครพนมโดยมาอาศัยอยู่เป็นเพื่อนที่มาจากเวียดนามเช่นเดียวกันที่ถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทร่วมอุดมการณ์
แต่ในครานั้นเนื่องจากอยู่ในช่วงระหว่างสงครามที่ต้องหนีออกมาจากเวียดนาม
ต่างคนจึงได้ต่างหลบหนีแยกย้ายกันไปหลบภัยต่างถิ่นกัน
ลุงโฮเองก็ได้เดินทางโดยเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยมารวมทั้งได้เปลี่ยนชื่อเรียกไปตามนั้นด้วยเพื่อเป็นการซ่อนตัวและไม่ให้ผู้ใดจำตนเองได้
สำหรับเพื่อนสนิทของลุงโฮนั้นเองก็ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยและมีครอบครัวที่ประเทศไทย
ซึ่งปัจจุบันบ้านหลังนี้ได้มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาและเป็นสถานที่แสดงประวัติเกี่ยวกับลุงโฮรวมถึงบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และเรื่องราวการใช้ชีวิตของลุงโฮที่ประเทศไทย
ในส่วนของบริเวณภายในบ้านนั้นเองจะมีต้นไม้นานาชนิดที่ลุงโฮได้ปลูกไว้
ได้แก่ ต้นมะพร้าว หมาก พลู กล้วย และชา ซึ่งมีบรรยากาศอันร่มรื่น
รวมไปถึงเครื่องมือเครื่องใช้ของลุงโฮ อาทิเช่นโต๊ะทำงาน
และเครื่องตำข้าวที่ลุงโฮใช้ในการตำข้าว
หมู่บ้านนาจอกแห่งนี้ได้รับการจัดตั้งให้เป็นหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม
โดยได้มีการจัดนิทรรศการแสดงประวัติการทำงานและเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆของท่านโฮจิมินห์
นอกจากนี้แล้ว
บริเวณริมถนนหมู่บ้านยังมีร้านก๋วยเตี๋ยวและอาหารเวียดนามเปิดให้บริการแก่ผู้มา
</p>
<p “=””>
</p>
<p “=””>บ้านหลังน้อยของลูงโฮในจังหวัดน
</p>
<p “=””>ทัศนศึกษาจุดที่ ๓.วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
</p>
<p “=””>
</p>
<p “=””>
</p>
<p “=””>
</p>
ไม่ว่าเวลาจะเนิ่นนานเท่าใด แต่ความเชื่อว่าหากได้นมัสการ และได้ถวายเครื่องสักการะบูชาพระธาตุพนม จะทำให้จิตใจเกิดความสงบเยือกเย็น ถ้ายังไม่บรรลุนิพพานในชาตินี้ เมื่อตายแล้ววิญญาณก็จะได้ไปสู่สวรรค์ เนื่องจากองค์พระธาตุพนมไม่เพียงแต่จะเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จมาประทับแรมอยู่หนึ่งราตรี
ที่ผ่านมาจึงได้มีประเพณีนมัสการพระธาตุพนม เพื่อสมโภชองค์พระธาตุพนมปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนไทย-ลาวสองฟากฝั่งโขง ในงานประกอบด้วยพิธีกรรม งานมหรสพสมโภชเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน สำหรับงานนมัสการพระธาตุพนมปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 8 กุมภาพันธ์ 2555 ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จังหวัดนครพนม
โดยในปีนี้จะมีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในวันเปิดงานวันที่ 31 มกราคม 2555 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. จะมีพิธีอัญเชิญพระอุปคุตจากริมแม่น้ำโขงแห่ไปวัดพระธาตุพนม พิธีคารวะองค์พระธาตุพนม ถวายข้าวพืชภาค การแห่กองบุญ (ผ้าป่า) รอบองค์พระธาตุพนมจากนั้นจะนำไปถวายวัด การเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุพนม นอกจากนั้นยังมีการรำบูชาพระธาตุพนม การละเล่นพื้นเมือง การแสดงมหรสพสมโภช การออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองและสินค้านานาชนิด ผู้เข้าร่วมงานหลังนมัสการองค์พระธาตุพนมแล้ว สามารถเที่ยวชมและเลือกซื้อสินค้าได้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
ที่สำคัญหากใครที่เกิดปีวอก หรือเกิดวันอาทิตย์ การได้ไหว้พระธาตุพนมจะยิ่งเป็นสิ่งมงคลแก่ชีวิต มีอานิสงส์ทำให้ผู้คนเคารพนับถือ เนื่องจากพระธาตุพนมเป็นพระธาตุประจำปีของผู้ที่เกิดปีวอก และเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์
เมื่อไปถึงวัดพระธาตุพนมแล้วเราต้องเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์รัตนโมลีศรีโคตรบูรณ์
เพราะเป็นที่จัดแสดงของเก่าโบราณที่บรรพบุรุษแถบนี้ใช้ในการครองชีพและพิธีกรรมทางศาสนา
พร้อมทั้งยังมีพระเก่าแก่โบราณแต่สมัยศรีโคตรบูรและประวัติเจ้อาวาสวัดนครพนมด้วนจะมีการจัดแสดงที่นั้นพร้อมทั้งยอดพระธาตุองค์เดิมก็อยู่ที่นั้น
นครพนมอีกหนึ่งเมืองริมฝั่งแม่น้ำโขงที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เป็นที่ตั้งของอดีตอาณาจักรอันเคยรุ่งเรืองคืออาณาจักรศรีโคตรบูร มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายให้ศึกษาที่คนทั่วไปรู้จักกันดีก็คือ "พระธาตุพนม" พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาวนครพนม
แต่ใช่ว่าที่นครมพนมจะมีของดีเพิ่งแค่พระธาตุพนมเท่านั้นอย่างที่ "วัดโอกาส"(เดิมชื่อว่าวัดศรีบัวบาน)
ตั้งอยู่ริมฝั่งโขงเขตเทศบาลเมืองนครพนม
ก็เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจ
ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งสันนิษฐานกันว่าสร้างในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรกำลังรุ่งเรือง
ภายในวัดมีปูชนียวัตถุและโบราณสถานที่สำคัญอันเป็นที่บูชาสักการะของชาวนครพนมมากมายอาทิ
หลวงพ่อศิลา ศาลเจ้าพ่อหมื่น ภาพผนังปูนปั้นนูนต่ำสามก๊ก เป็นต้น
<p “=””>
</p>
<p “=””>
</p>
<p “=””>
</p>
<p “=””>
</p>
ปัจจุบัน วัดโอกาส มีพื้นที่ 3ไร่ 2งาน 28 ตารางวา โดยมีประวัติที่เล่าขานกันสืบมาถึงการสร้างวัดว่า “จมื่นรักษาราษฎร์” ซึ่งเป็นแม่ทัพนายกองของพระเจ้าศรีโคตรบูร ได้นำกำลังทหารมาตั้งค่ายระวังข้าศึกที่บ้านโพธิ์ค้ำ และได้สร้างวัดขึ้นเพื่อบำรุงขวัญทหารที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณบ้านโพธิ์ค้ำ
ต่อมาเมื่อจุลศักราชราชาได้ 1,100 ตัวปี ตรงกับ พ.ศ.2281 ราชบุตรพรหมา (พรหมมาบุตรเจ้ากู่แก้ว)เป็นผู้ครองนครศรีโคตรบูร ปรากฏนามว่า พระบรมราชาพรหมา ได้มีศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์วัดศรีบัวบาน โดยได้สร้างอุโบสถและสร้างพระประธานแล้วประดิษฐานไว้ในอุโบสถซึ่งมีขนาดหน้าตักกว้าง46ซ.ม สูง220ซ.ม พุทธลักษณะปางวิชัยแล้วลงรักปิดทองทั่วทั้งองค์และได้ทำการฉลองสมโภชและถวายสมัญญานามว่า “หลวงพ่อพระบรมราชาพรหมา” นอกจากนี้ยังยังได้อัญเชิญไว้ที่วัดศรีบัวบาน และได้เปลี่ยนชื่อจากวัดศรีบัวบาน เป็นวัดโอกาสแล้วมีสร้อยท้ายตามหลังว่า ศรีบัวบาน
นอกจากนี้ที่บริเวณกลางวัดจะมีหอประดิษฐาน "พระติ้ว พระเทียม"พระคู่แฝดแห่งเมืองนครพนมอยู่คู่กัน โดยพระติ้วจะประทับอยู่ด้านขวาของพระเทียม สำหรับประวัติของ พระติ้ว พระเทียม นั้นเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนมมาแต่โบราณกาล
ในตำนานการสร้างพระติ้ว พระเทียม ในตอนแรก จะมีเพียงองค์พระติ้ว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปไม้แกะสลักปางมารวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 39 ซ.ม. สูง 60 ซ.ม.สันนิษฐานว่าสร้างโดยพระเจ้าศรีโคตรบูร ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครอาณาจักรศรีโคตรบูรประมาณปีพ.ศ.1238 โดยพระองค์ได้โปรดให้นายช่างสร้างจากไม้หมอนรองท้องเรือท่อนที่ทำจากไม้ติ้วซึ่งกระเด็น ออกในขณะที่ทำการชักลากเรือลงสู่แม่น้ำโขง
ครั้นได้ทำการสมโภชเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองแล้วเมื่อเกิดเหตุร้ายภัยร้าย ณ บ้านเมืองใด จึงได้อัญเชิญองค์พระติ้วไปประดิษฐาน ณ บ้านเมืองนั้น ครั้นพอเหตุร้ายภัยร้ายระงับดับหายไปก็อัญเชิญประดิษฐานภายในเมืองตามปกติ
ครั้งหนึ่งเกิดเพลิงไหม้หอพระวัดธาตุ บ้านสำราญ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระติ้ว พระเจ้าขัตติยะวงศาฯ จึงมีบัญชาให้ชาวบ้านหาไม้มาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปเหมือนองค์พระติ้วทุกประการ แล้วจัดให้มีการสมโภชเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองแทนองค์พระติ้วที่เข้าใจว่าถูกไฟไหม้แล้ว
ต่อมาได้มีชาวบ้านสำราญไปหาปลากลางแม่น้ำโขง ในขณะนั้นเองได้เกิดลมบ้าหมู(พายุหมุน)ขึ้นและชาวบ้านได้เห็นองค์พระติ้วลอยขึ้นมาจากแม่น้ำโขง จึงได้นำไปถวายคืนพระเจ้าขัตติยะวงศาฯ พระองค์ศรัทธาเป็นอย่างยิ่งจึงได้สละทองคำหนัก30 บาท ให้ช่างบุทั่งทั้งองค์พระและจารึกอักษรที่แท่นฐานลานเงิน เพื่อบอกวันเดือนปีและนามผู้สร้าง พร้อมทั้งได้ถวายสมัญญานามพระพุทธรูปองค์เดิมว่า "พระติ้ว" และพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อใช้แทนพระติ้วนั้นว่า "พระเทียม"
ซึ่งในกาลต่อมาราชบุตรพรหมา (พรหมาบุตรเจ้ากู่แก้ว)เจ้าครองเมืองนครบุรีศรีโคตรบูรได้อัญเชิญ พระติ้ว พระเทียม มาประดิษฐานที่วัดศรีบัวบานในปีพ.ศ.2281 ชาวนครพนมจะจัดงานสรงน้ำ พระติ้ว พระเทียม ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน6 เป็นประเพณีสืบมาทุกๆปี
การสังเกตความแตกต่างของพระติ้วพระเทียม นั้นนอกจากจะทราบว่าพระติ้วจะอยู่ด้านขวาของพระเทียมแล้วยังสามารถสังเกตได้จากองค์พระติ้วทำด้วยไม้ติ้วบุทองคำ ส่วนพระเทียมนั้นไม่ได้บุทองคำแต่ลงรักปิดทองคำเปลวแทน
ไม่มีความเห็น