บันทึการเดินทาง นครพนม - มุกดาหาร



บันทึการเดินทาง นครพนม - มุกดาหาร

ก่อนเดินทางเข้าจุดแรกคคือบ้านพักลุงโฮจิมิน นายกรัฐมนตรีแห่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม

บ้านหลังน้อยของลูงโฮในจังหวัดนครพนม ซุกตัวอยู่เงียบๆท่ามกลางแมกไม้ร่มครึ้ม ดูดดึงให้เราจินตนาการไปต่างๆนาๆเมื่อครั้งที่ลุงโฮเข้ามาเคลื่อนไหวทำการปฏิวัติสู้กับมหาอำนาจฝรั่งเศษราวปี1928-1929 สิ่งของทุกอย่างแม้ไม่ใช่ของเดิมที่ลุงโฮเคยใช้(ส่งมอบคืนให้เวียดนาม) แต่สิ่งของที่จำลองไว้ก็ถูกจัดวางไว้ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ชึ่งเราสามารถสัมผัสได้ถึงความรมรื่นของบรรยากาศที่เติมไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ โดยเฉพาะปัจจุบันมีการปลูกใบชาและมีน้ำชาให้จิบด้วย


ท่านโฮจิมินห์เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2433 ที่หมู่บ้านฮองตรู จังหวัดเงอัน ตอนบนของประเทศเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2454 โฮได้ยายจากเวียดนามไปเป็นพ่อครัวในประเทศฝรั่งเศล ประเทศซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมของเวียดนามในขณนั้น และได้ศึกษาเรียนต่อที่นั่น ต่อมาโฮก็ได้ย้ายจากฝรั่งเศสไปสหรัฐอเมริกาและอังกฤษตามลำดับ หลังจากนั้นโฮได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเมื่อรัฐบาลก๊กมินตั๋ง ของเจียงไคเช็ค เริ่มการปราบปรามคอมมิวนิสต์นั้น ลุงโฮก็ได้หลบหนีจากจีนมายังจังหวัดนครพนม ประเทศไทย โดยได้บวชเป็นพระภิกษุทำการสอนลัทธิคอมมิวนิสต์ให้ชาวไทย

โฮจิมินห์เดินทางกลับมาเวียดนามอีกครั้งในปี พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) ด้วยการที่รวบรวมชาวเวียดนามส่วนใหญ่แล้วตั้งเป็นฝ่ายเวียดมินห์ เตรียมแผนที่จะประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสให้ประชาชนชาวเวียดนาม

โฮจิมินห์ประกาศจัดตั้งคอมมิวนิสต์เวียดนามหลังจากจักรพรรดิบ๋าวได๋ จักรพรรดิเวียดนามพระองค์สุดท้ายประกาศสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2488 (ค.ศ. 1945) ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2497 เวียดนามก็ได้ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในสมรภูมิเดียนเบียนฟู

ในปี พ.ศ. 2502 สงครามเวียดนามได้อุบัติขึ้น สหรัฐอเมริกาและชาติสหพันธมิตรอื่นๆก็ได้เข้าร่วมสงครามด้วย แต่ผลสุดท้ายเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะในปี พ.ศ. 2518 แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่โฮจิมินห์มิได้อยู่ถึงการชื่นชมชัยชนะในปี พ.ศ. 2518 ด้วยเหตุที่ว่าเขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2512 ที่บ้านพักในกรุงฮานอย

โฮจิมินห์ซิตี้ หรือ ชื่อเดิม ไซ่ง่อน เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่บริเวณสามเหลียมปากแม่น้ำโขงไซ่ง่อน ในอดีตเคยเป็นเมืองในการปกครองของเขมรมาก่อน ต่อมาเมื่อแยกเป็นประเทศเวียดนาม ไซ่ง่อนเป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ เมื่อเวียดนามเหนือยึดได้จึงเปลี่ยนชื่อเป็น โฮจิมินห์ซิตี ตามชื่อผู้นำเวียดมินห์ คือ โฮจิมินห์

วัดโอกาส ( วัดพระติ้ว )


ตำนานบอกว่า พระติ้ว องค์พระพุทธรูปปางมารวิชัยสูงประมาณสองไม้บรรทัด เดิมประดิษฐานอยู่วัดธาตุ บ้านสำราญ มีอายุมากกว่า 1,300 ปี สร้างขึ้นในห้วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์จากท่อนไม้ติ้วศักดิ์สิทธิ์ นานมาแล้วเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าองค์พระติ้วถูกเพลิงไหม้จึงมีการสร้างพระติ้วองค์จำลองขึ้นมา ภายหลังกลับพบพระติ้วลอยขึ้นมาจากแม่น้ำโขงอย่างน่าอัศจรรย์จึงกลายเป็นมีพระพุทธรูปคู่แฝดคือ พระติ้ว และพระเทียม ที่ชาวนครพนมให้ความเคารพอย่างยิ่ง พระพุทธรูปสององค์นี้ย้ายจากวัดธาตุมาประดิษฐาน ณ วัดโอกาส หรือ โอกาสวัดศรีบัวบาน ที่ชาวบ้านเรียกกันติดปาก เมื่อกว่า 250 ปีมาแล้ว วัดโอกาสเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองนครพนม วัดแห่งนี้อยู่ริมแม่น้ำโขงกลางตัวเมือง มาเที่ยวนครพนมยังไงต้องผ่านไปผ่านมาที่นี่ ก็ไม่ควรพลาด ที่จะแวะเข้าไปสักการะ พระติ้วและ พระเทียม พระคู่แฝดทั้งสององค์ ณ วัดโอกาส (วัดโอกาสศรีบัวบาน) ภายในโบสถ์ ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม ให้ชมอีกด้วย


พระติ้ว - พระเทียม

พระพุทฦธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม

พุทธลักษณะ

พระติ้วพระ - พระเทียม เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยส้างด้วยไม้ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูร

ความเป็นมา

ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรกำลังรุ่งเรือง เจ้าผู้ครองนครมีนามว่า "พระเจ้าศรีโคตบูรหลวง" ประสงค์ให้จัดหาพาหนะทางน้ำสำหรับพระองค์ โดยให้นายช่างพร้อมด้วยชาวบ้านกองลอและกำลังพลล้มไม้แคน ( ตะเคียน ) และลงมือขุดเรือที่ดงเชกาเสร็จแล้วจึงเตรียมการชักลากลงแม่น้ำชึ้งต้องใช้ไม้หมอนวางหนุนรองท้องเรือไว้เป็นระยะๆปรากฎว่าได้มีท่อนไม้ติ้วปะปนอยู่ด้วย ครั้นพอว่างเรือทับและลงมือชักลากไปบนไม็ท่อนอื่นๆ เรือก็ไหลไปได้โดยสะดวก แต่ไม้หมอนท่อนไม้ติ้วไม่ยอมให้เรือเลื่อนทับ ครั้นนำมาเป็นหมอนรองทองเรือและลงมือชักลากครั้งใด หมอนไม้ติ้วท่อนนั้นก็กระเด็นออกมาถูกชาวบ้านและกำลังพลที่กำลังลากเรือได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน แต่สุดท้ายก็ลากลงแม่น้ำได้สำเร็จ

เมื่อความทราบถึงเจ้าเมืองจึงนำไม้หมอนเรือมาแกะสลักพระ


วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร

วัดพระธาตุพนมประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุ พนม จังหวัดนครพนม ตามตำนานกล่าวว่าสร้างมานานไม่น้อยกว่า ๒,๓๐๐ ปี ผู้ที่สร้าง คือ พระ มหากัสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้นำพระอุรังคธาตุหรือกระดูกหน้าอก ของสมเด็จพระสัมมนาพุทธเจ้ามาเพื่อบรรจุไว้ในพระธาตุผู้ที่ร่วมช่วยในการสร้างพระ ธาตุนี้คือ ท้ายพระยาเมืองต่าง ๆ พญานันทเสน เมืองศรีโคตรบูรณ์ (เมืองนครพนม เดิม) พญาจุลนีพรหมทัด พระยาอินทรปัตนคร และพญาดำแดง เมืองหนองหารน้อย พากันยกโยธามาช่วยสร้างพระธาตุพนมจนเสร็จและบรรจุอุรังคธาตุพร้อมของมีค่าไว้ ภายในเป็นจำนวนมาก

พระธาตุพนมนี้เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดย เฉพาะอย่างยิ่งชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงประชาชนลาวด้วย ในฤดูเทศกาล เพ็ญเดือน ๓ ของทุกปี พุทธศาสนิกชนหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ มาสมโภชและนมัสการพระธาตุพนม

วัดพระธาตุพนมเป็นวัดวรมหาวิหาร พระอารามหลวง ถือเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ถึงคราวพระราชพิธีราชาภิเษกทุกรัชกาลมา จะต้องนำน้ำจากสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไปร่วมพิธีด้วยเพื่อประกอบพิธีมุรธาภิเษก และเมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งถือ ว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีเดิม จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานต้นไม้ ทอง เงิน น้ำอบและผ้าคลุมส่งไปนมัสการพระธาตุพนมทุกปี และเมื่อถึงเทศกาลเข้าปุ ริมพรรษา ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเทียนพรรษาเป็นพุทธบูชาทุกปีมา

งานนมัสการพระธาตุพนมประจำปี ถือเอาวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ของ ทุกปีเป็นวันแรกของงานไปสิ้นสุดเอาวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๓

“..พระเจดีย์ธาตุพนมอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง สร้างเป็นสถูปทางพระพุทธ ศาสนาจะสร้างตามลัทธิมหายานหรือหินยาน ไม่มีที่สังเกตเหมือนอย่างที่พิมาย แต่ไม่ มีเค้าศาสนาพราหมณ์เจือปนอยู่เลย บรรดาเจดีย์สถานในพระพุทธศาสนาซึ่งสร้าง ใน สมัยของเขมรที่พบในเมืองไทย ที่สร้างสถูปเป็นประธานมีแต่พระธาตุพนมแห่งเดียว ทั้ง รูปสันฐานลวดลายก็เป็นอย่างอื่นต่างจากแบบช่างขอม ชวนให้เห็นว่าจะสร้างสมัยขอม คือ สร้างในสมัย เมื่อประเทศอันหนึ่งซึ่งเรียกในจดหมายจีนว่า “ฟูนัน” คล้าย “พนม “ เป็นใหญ่อยู่ต่างหาก รูปทรงพระเจดีย์ธาตุพนมเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนมณฑป มีซุ้มต้น สามซุ้มซ้อนกันเป็นสามชั้น เล็กเป็นหลั่นกันขึ้นไป แล้วถึงองค์พระสถูปอยู่เบื้องบน มณฑปทั้ง ๓ ชั้น ยอดสถูปหุ้มแผ่นทองคำ เช่นเดียวกับพระธาตุเมืองมหาธาตุเมือง นครศรีธรรมราช ขนาดพระสถูปดูจะเท่า ๆ กัน...”

พิพิธภัณฑ์รัตนโมลีศรีโคตรบูรณ์ วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร

เมื่อไปถึงวัดพระธาตุพนมแล้วเราต้องเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์รัตนโมลีศรีโคตรบูรณ์ เพราะเป็นที่จัดแสดงของเก่าโบราณที่บรรพบุรุษแถบนี้ใช้ในการครองชีพและพิธีกรรมทางศาสนา พร้อมทั้งยังมีพระเก่าแก่โบราณแต่สมัยศรีโคตรบูรและประวัติเจ้อาวาสวัดนครพนมด้วนจะมีการจัดแสดงที่นั้นพร้อมทั้งยอดพระธาตุองค์เดิมก็อยู่ที่นั้น


หมายเลขบันทึก: 625173เขียนเมื่อ 5 มีนาคม 2017 22:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มีนาคม 2017 22:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท