ใน "บันทึก" สามก๊กของหลอกวนตง ถ้าถามว่าฉากไหนสำคัญที่สุด และบ่งชี้ "จิตวิญญาณ" ของสามก๊กมากที่สุด ส่วนตัวผมจะยกให้ฉากนี้ (ขงเบ้งปะทะปราชญ์กังตั๋ง)
ถามว่าเพราะเหตุใด
เหตุผลคือ ในง่อก๊กของซุนกวน สถานการณ์รับมือต่อการบุกลงใต้ของวุยก๊กของโจโฉยังไม่แน่นอน ฝ่ายที่ปรึกษาพลเรือน (ที่ขงเบ้งกำลังจะไปพบ) เป็นตัวแทนของความคิดยอมจำนน เพราะเห็นว่ากำลังของง่อสู้กับกองทัพวุ่ยไม่ไหว ในขณะที่ฝ่ายผู้นำทหารมีความคิดไม่ยอมจำนนและเห็นว่ามีหนทางที่จะต่อสู้ได้ ความคิดของสองฝ่ายนี้ยังคงก้ำกึ่ง ไม่มีฝ่ายใดชี้ขาด จึงถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง การต่อสู้ทางปัญญาระหว่างขงเบ้งและปราชญ์กังตั๋งครั้งนี้ ในมุมมองของขงเบ้งจึงเพื่อทอนอิทธิพลฝ่ายยอมจำนน และเพิ่มความชอบธรรมให้กับฝ่ายต่อสู้
ในยุคสมัยของขงเบ้ง นักคิดในสมัยนี้สืบทอดอิทธิพลสำคัญมาจากนักคิดสมัยก่อนโดยเฉพาะยุคชุนชิว ยุคจั้นกว๋อ ยุคฉิน และยุคฮั่น นักปราชญ์สำคัญคือขงจื้อซึ่งเน้นเรื่องจารีตและคุณธรรม และฝ่ายเต๋าเน้นเรื่องความลับของธรรมชาติและการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ในการปะทะกันทางความคิดในครั้งนี้จึงต้องอ้างอิงย้อนกลับไปถึงนักคิด ปราชญ์ และ "รัฐุบรุษ" ในยุคก่อนหน้าทั้งหมด
ลำดับเวลาของแต่ละยุคที่คร่อมการปะทะทางความคิดนั้น จะเป็นดังนี้
ประเด็นที่ผมเห็นว่าสำคัญ คือในการปะทะทางความคิดครั้งนี้ ซึ่งมักจะอ้างไอเดียหลักของขงจื้อ และเต๋า แล้วยังอาจจะมีไอเดียจากสำนักนิตินิยม หรือฝ่าเจีย (法家) ซึ่งเน้นการกำกับระเบียบในสังคมในสมัยฉิน แต่ก็ไม่ปรากฎชัดเจนนัก ผมนึกถึงในเทปก่อนที่พูดถึงการ contrast idea ของขงจื้อและเต๋า (เล่าจื้อ) ต่อสถานการณ์ในขณะนั้น https://www.youtube.com/watch?v=iOIPalxfKtw ซึ่งขงจื้อมีชีวิตอยู่ช่วงปลายยุคชุนชิว (551 - 479 BC) เป็นช่วงที่แผ่นดินมีสงคราม สงครามนี้จะกินเวลาข้ามไปถึงยุคจั้นกว๋อที่มีเพียงเจ็ดแคว้นจะช่วงชิงความเป็นใหญ่ แล้วลงเอยด้วยการกุมอำนาจของแคว้นฉิน (และสร้างมาตรฐานทั้งทางภาษาเขียน กฎหมาย หลักการปกครอง และอุตสาหกรรมทั่วแผ่นดินจีนในขณะนั้น)
ขงจื้อเห็นว่าควรผลักดันให้ผู้ปกครองยอมรับหลักคุณธรรม และจะทำให้แคว้นอื่นยอมรับหลักคุณธรรมตามไปด้วย แผ่นดินก็จะกลับมาสันติมีความสงบสุข แต่เล่าจื้อเห็นว่าสภาพทางสังคมมีความขัดแย้ง ผู้นำแคว้นจะไม่รับฟังเรื่องคุณธรรม เพราะต้องสู้รบเอาตัวรอดเป็นสำคัญ แต่เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนจากสภาพสงครามเป็นความสงบสุข ผู้นำไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร ก็จะหันกลับมารับฟังความคิดของนักปราชญ์เอง (คำเปรียบเปรยเรื่อง "ลิ้นกับฟัน" ซึ่งเป็นข้อคิดที่เล่าจื้อฝากให้ขงจื้อก่อนอำลา) การปรับตัวตามสภาวะการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติจึงเป็นเรื่องสำคัญกว่า (ในแง่นี้ในกระบวนคิดทางตะวันตกอาจเทียบได้กับ โทมัส ฮอปส์ ที่คิดถึงไอเดียอย่าง "ลีเวียทัน" หรืออำนาจรัฎฐาธิปัตย์ ที่จะสามารถสถาปนาระเบียบขึ้นในรัฐได้ เพราะโทมัส ฮอปส์ มีชีวิตอยู่ในช่วงสงครามกลางเมืองในอังกฤษ)
หากมองในระยะยาว การที่หลังจากยุคชุนชิว ก็ยังมียุคจั้นกว๋อ (ทั้งสองยุคอยู่ในบันทึกเลียดก๊ก) ซึ่งก็ยังมีสงครามกันจนกระทั่งปรากฎผู้ชนะเด็ดขาด ก็เป็นข้อพิสูจน์ของไอเดียของเล่าจื้อว่าถูกต้อง แต่สิ่งที่ขงจื้อพูดก็ยังมีอิทธิพล เพราะตามหลักการ (คุณธรรม ความกตัญญู การจงรักภักดี) ก็เป็นสิ่งที่สังคมให้ความนับถือ ก็จะถูกผู้ปกครองอ้างอิงเพื่อสร้างความชอบธรรมอยู่เสมอ
แต่ลึกลงไป ในทางยุทธศาสตร์ขงเบ้งมีความคิดที่ชัดเจนแต่แรกอยู่แล้ว คือใช้สถานการณ์รุกลงใต้ของโจโฉ เพื่อเปิดโอกาสให้เล่าปี่สร้างพันธมิตรกับซุนกวน เพื่อยันทัพของโจโฉ หากสองทัพสามารถยันศึกเอาชนะโจโฉได้ ทัพของเล่าปี่จะมีโอกาสได้ดินแดนเกงจิ๋ว (ภาคกลาง) และเสฉวน (ภาคตะวันตกเฉียงใต้) ในขณะที่ซุนกวนจะคุมดินแดนกังตั๋ง (ตะวันออกเฉียงใต้) กำลังพันธมิตรซุน-เล่า จะไม่เพียงยันศึกของโจโฉได้ แต่อาจถึงกับเอาชนะได้อีกด้วย ถ้าเอาชนะได้เล่าปี่จะได้เปรียบซุนกวนในฐานะที่มีสถานะเป็นเชื้อพระวงศ์ และเป็นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็จะมีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองแผ่นดินมากกว่าซุนกวนในภายหลัง การปะทะทางปัญญาครั้งนี้จึงไม่ใช่ประเด็นต้องถกเถียงทางยุทธศาสตร์อะไร (หรือไม่ใช่การต้องถกเถียงทางหลักการทางปรัชญา เหมือนเมื่อครั้งที่ขงจื้อถกกับเล่าจื้อ ว่าจะยืนยันหลักการ หรือจะปรับตามสถานการณ์) ยุทธศาสตร์ของทั้งขงเบ้งและโลซกต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าในการรับศึกโจโฉ จึงชัดเจน แจ่มแจ้ง และไม่ถูกคลอนแคลนแม้แต่น้อย การปะทะกันทางโวหารครั้งนี้ขงเบ้งจึงต้อง "กำราบ" ไอเดียทางเลือกทิ้งให้หมดและชักนำความคิดส่วนรวมให้ยอมรับยุทธศาสตร์หลงจง (ที่ไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะ) โดยปริยาย โดยอันที่จริงไม่ได้สนใจการถกเถียงเรื่องหลักการหรือเหตุผลอะไรนัก (แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าตนคำนึงถึงอยู่) จะเรียกว่าเป็นการใช้โวหารที่เหนือกว่าก็คงได้ (ซึ่งในระหว่างถกเถียงก็มีผู้ตำหนิขงเบ้งว่าใช้โวหาร ไม่มีหลักการ แต่ขงเบ้งก็แสดงประวัติศาสตร์ของเล่าปี่ว่าเต็มไปด้วยหลักการ แถมยังมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าย้อนกลับไปได้ด้วย -- ผมเชื่อว่าถ้าเล่าปี่เชื่อคำแนะนำของขงเบ้ง ในการยึดเกงจิ๋วโดยไม่สนใจเรื่องคุณธรรม ขงเบ้งก็หาวิธีอื่นมาโต้คืนได้อยู่ดี)
ดูข้อมูลยุทธศาสตร์หลงจงที่ขงเบ้งอธิบายให้เล่าปี่เข้าใจ ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/siamintelligence/photos/a.10150123272946518.323308.251446551517/10152042149081518/?type=3
ส่วนนี่เป็นยุทธศาสตร์ "หลงจง" ของโลซก
https://www.facebook.com/siamintelligence/posts/10152042166391518?match=4Liq4Liy4LihIOC4geC5iuC4gS53bXYs4Liq4Liy4Lih
ในตอนนี้ล่อกวนตง ได้เรียบเรียง (เราไม่ทราบว่าประวัติศาสตร์จริงเป็นอย่างไร) ถึงการปะทะทางความคิดได้ดี และวิธีการที่ขงเบ้งใช้วิธี "ฝ่ายตรงข้ามมาอย่างไร ก็โต้ไปอย่างนั้น" ย้อนกลับไป และแสดงถึงภูมิปัญญาที่เหนือกว่าย้อนกลับไป เป็นกรณีคลาสสิคในการโต้วาที โดยไม่จำเป็นต้องอ้างอิงถึงยุทธศาสตร์หลงจงที่แท้จริงของตนแม้แต่น้อย (ซึ่งขงเบ้งคงครุ่นคิดถึงยุทธศาสตร์นี้มานานหลายปี อย่างละเอียดจนตกผลึก ก่อนมาพบกับเล่าปี่)
อันที่จริงคุณสมบัติของผู้นำในทัศนะของขงเบ้งไม่ได้สำคัญมากเท่ายุทธศาสตร์โดยรวม และการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้แล้ว เพราะผู้นำทุกคนย่อมมีข้อบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ เป็นหน้าที่ของกุนซือที่จะแสดงให้เห็นถึงด้านดีของผู้นำหรือหลักการที่ตนรับใช้อยู่ อำพรางข้อด้อย แล้วโจมตีข้อดีของผู้นำหรือหลักการของฝ่ายตรงข้าม ในแง่หนึ่งก็แสดงถึง pragmatism ของขงเบ้ง
แต่หลังจากการปะทะทางปัญญาครั้งนี้ผ่านไป กังตั๋งจะหันมาเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีแคว้นของตนเองด้วยซ้ำสู้ศึกกับโจโฉ และปรากฎขึ้นเป็นสามก๊ก หรือสามแคว้นในที่สุด
====
เขาเป็นที่ปรึกษาใหญ่ของกังตั๋ง ลักษณะการใช้ตรรกะและหลักการในการโต้เถียงของเขามีความซับซ้อนและลุ่มลึกที่สุดในกลุ่ม
(1) ขึ้นต้นมาว่าตนมีความรู้น้อย และบอกว่าขงเบ้งเปรียบตนเองเหมือนขวันต๋ง งักเย (กำลังเทียบว่าการถ่อมตนเป็นคุณธรรม การอ้างตนเปรียบผู้สูงส่งไม่ได้ถ่อมตน จึงไม่มีคุณธรรม)
(2) เล่าปี่ไปคำนับขงเบ้ง แต่กลับไม่ได้เกงจิ๋วแถมยังตกเป็นของโจโฉ
(3) ขวันต๋งช่วยจีอ้วนกงให้เป็นใหญ่ งักเยตีแคว้นจีได้ 70 เมือง ผลงานชัดเจน โลกยอมรับ ช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาได้ประโยชน์มากมาย เล่าปี่ก่อนได้ขงเบ้งยังมีสถานะ แต่หลังจากได้ขงเบ้งกลับประสบปัญหาหนักขึ้น ไม่มีที่ซุกหัวนอน
(1) โจโฉมีกองทัพ 100 หมื่นประชิดกังแฮ มีแผนรับมืออย่างไร
(2) แตกทัพตงหยง หลบไปแฮเค้า ไม่มีที่ซุกหัวนอน มาง่อคงจะขอกำลังไปช่วย การพูดว่าไม่กลัวก็เป็นการโกหก
(1) ขงเบ้งดูถูกคนเกินไป
(2) ขงเบ้งใช้เทคนิคแบบโซจิ๋น เตียวยี่ ในการใช้วาจายุแหย่ให้กังตั๋งโกรธเพื่อจะได้สู้รบ
(1) วิเคราะห์โจโฉอย่างไร
(2) ที่วิเคราะห์มานั้นผิด ราชวงศ์ฮั่นหมดยุคสมัยไปแล้ว ความเป็นจริงคือโจโฉ ครองแผ่นดินสองในสาม มีคนสนับสนุนเป็นจำนวนมาก เล่าปี่จึงถือเป็นคนฝืนกระแส จึงต้องพ่ายแพ้
(ข้อสังเกต: การโต้ของฝ่ายปราชญ์กังตั๋งมีข้อจำกัดอยู่ที่ว่าจะให้ความชอบธรรมต่อโจโฉมากเกินไปไม่ได้ เพราะกลับจะมีปัญหาคุณธรรมเสียเอง คือไม่มีความกตัญญูต่อนายของตนหรือซุนกวน แล้วไปยกยอโจโฉซึ่งเป็นศัตรูแทน การใช้เหตุผลโน้มน้าวให้ยอมจำนนจะมีเส้นขีดขั้นที่เรื่องความชอบธรรมของโจโฉนี้ และขงเบ้งก็ใช้ข้อได้เปรียบนี้ในการโต้เถียงอย่างเต็มที่แต่แรก)
(1) แม้โจโฉจะอ้างโองการ แต่สถานะก็คือสมุหนายก เล่าปี่อ้างว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่มีหลักฐาน ตัวตนแท้จริงคือคนทอเสื่อ ไม่สามารถแข่งขันกับโจโฉได้
(1) ที่ขงเบ้งถกเถียงมาทั้งหมด เหมือนเพียงใช้โวหาร ไม่มีหลักการ ขงเบ้งไม่มีงานวิชาการเป็นเรื่องเป็นราวมาก่อน ให้ยืนยันว่ามีความสามารถจริง ไม่ได้ใช้เพียงแต่ใช้โวหารเท่านั้น
(1) ที่ขงเบ้งถกเถียงมา ไม่มีหลักวิชาการที่แท้จริง เช่นที่ขงจื้อสอน
ไม่มีความเห็น