เอาตามตรงนะครับ - ผมไม่ใช่นักเขียน
ถึงแม้หลายครั้งครา จะมีคนชอบเรียกผมว่า "นักเขียน" บ้างก็เถอะ
แต่ก็ยืนยันว่าตัวเอง ไม่ใช่นักเขียน แต่ก็ยอมรับว่าชอบ หรืออยากเป็นนักเขียน
ความอยาก คือ ความใฝ่ฝัน
ผมว่าการมีความฝันเป็นอีกหนึ่งในคุณลักษณะอันสำคัญของการมีชีวิต
และใช้ชีวิต เพราะความฝันคือแรงบันดาลใจที่จะททำให้ชีวิตอยู่มีเป้าหมาย-ฝั่งฝัน
ความใฝ่ฝันของผม จะเป็นจริงหรือไม่ ผมจะเริ่มต้นด้วยการลงมือทำ
ผมเชื่อและศรัทธาต่อพลังอำนาจของการลงมือทำเสมอ
และเชื่อว่า การลงมือทำจะสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกินกว่าลงมือทำ
อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้ซึ่งปัจจัยความสำเร็จและความล้มเหลว
ล้มเหลววันนี้ ก็ย่อมมีวันข้างหน้าที่จะประสบความสำเร็จ
ประสบความสำเร็จวันนี้ ก็มิได้หมายถึงว่า จะประสบความสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำอีก
นี่คือ สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการลงมือทำความฝัน -หรือ สร้างความฝัน
ผมชอบการเขียน จึงเขียนในสิ่งที่ชอบ
การเขียนในสิ่งที่ชอบ คือการเขียนบน "หน้าตัก" หรือ "ระยะสุดสายตา" ของตนเอง
เพราะตระหนักดีว่า การเขียนในสิ่งอันคุ้นเคย หรือเขียนในสิ่งที่เรา "มีอยู่" ย่อมจะเป็นความง่ายงามของการเขียน
สำหรับผมแล้ว ผมจะไม่พะวงไปกับศาสตร์แห่งการเขียนอันใดให้ปวดกะบาล
จะไม่วิตกไปกับมาตรฐานสากลใดๆ ให้มากความ
จะไม่เอางานตัวเองไปเทียบกับ "นักเขียน" ที่เป็น "นักเขียน" มืออาชีพ
เพราะถ้าคิดและทำแบบนั้นเสียทั้งหมด
มันย่อมกัดกร่อนความกล้าที่จะเขียนของตัวเองลงอย่างสิ้นเชิง
ศาสตร์ คือ ของเรา
มาตรฐาน คือ ของเรา
เพราะมันเป็นเรื่องของเรา บนหน้าตักของเรา
เราจึงชอบธรรมที่จะรักและเอ็นดูต่อสิ่งนั้นๆ ด้วยตนเอง
ขณะหนึ่งงานเขียน-หนังสือ ก็คล้ายกับลูกของเรา
สักวันหนึ่งย่อมต้องขยับเท้าออกไปพบปะกับสังคมอยู่วันยังค่ำ
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของเขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างแน่นอน
มันเป็นเรื่องของรากเหง้า กำพืด ....
เพราะอย่างไรเสีย เขา ก็ยังเป็น เขา ...
ชอบไม่ชอบสังคมมีสิทธิ์เลือกที่จะพบปะสังสรรค์กับเขาหรือไม่
ในทำนองเดียวกัน เขา ก็มีสิทธิ์ในการที่จะพบปะสังสรรค์กับใคร
ใช่ -เราล้วนมีสิทธิ์ที่จะเลือก...
ผมเขียน เพราะรักที่จะเขียน
รักในสิ่งที่เป็นความฝันของตัวเอง
จึงต้องแสดงความเคารพต่อความฝันด้วยการลงมือทำ
ผมไม่สนใจนักหรอกว่า หนังสือ หรืองานเขียนของผม
จะโด่งดังได้รับความนิยมในสังคมวงกว้างแค่ไหน
ผมจะให้ความสำคัญกับแวดวงของผมเองต่างหาก
เพราะมันเป็นงานบนหน้าตัก -
เป็นงานในบริบทใกล้ตัว เป็นงานในระยะสุดสายตาของผมเอง
ฉะนี้แล้ว หากหนังสือ หรือ งานเขียนของผมก่อเกิดประโยชน์ต่อคนจำนวนเล็กน้อยๆ ในสังคมของผม
ผมมองว่านั่นแหละคือมาตรฐานของผม
เพราะคนในสังคมของผม คนในหน้าตักและบริบทเดียวกับผม
ได้ใช้ประโยชน์จริงจากหนังสือ หรือ งานเขียนของผม
ผมไม่ใช่นักเขียน เพียงแต่หลงรักในการเขียน
และดีใจที่มีคนหยิบจับไปใช้ แม้จะเพียงจำนวนคนอันน้อยนิด...ผมก็ดีใจ และสุขใจ
ความสำเร็จของการเขียนหนังสือของผม
คือ การกล้าเขียน กล้าเผยแพร่
และจากนั้น คือ มีคนนำไปใช้จริง
ใช่ครับ - นี่คือมาตรฐานง่ายๆ ในนิยามของผม
แค่ได้เห็นหนังสือก็มีความสุขแล้วครับ
ขอบคุณสำหรับหนังสือดีๆตลอดเลยครับ