ในทุกวันนี้คงปฎิเสธไม่ได้ว่าเกือบทุกคนที่มีชีวิตอยู่ต่างต้องการความร่ำรวย ต้องการชีวิตที่สุขสบาย ชีวิตในแต่ละวันหมดไปกับการทำมาหากินเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ (สำหรับผู้ที่มีเหลือ) และเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดไปได้ในแต่ละวัน (สำหรับผู้ที่ยังมีไม่พอ) อันที่จริงความร่ำรวยก็ไม่ใช่สิ่งผิดที่น่ารังเกียจแต่อย่างใดหากวิธีการที่หามาได้นั้นเป็นไปโดยสุจริต แต่ทว่าในชีวิตของคนคนหนึ่งรวยเท่าไรจึงจะพอ?
เมื่อไม่นานมานี้ทั่วโลกตกตะลึงและชื่นชมไปกับการบริจาคทรัพย์สินจำนวนมหาศาลเป็นประวัติการณ์ ของนายวอร์เรน บัฟเฟทท์ วัย 75 ปี อัครมหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่รวยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2549 นายบัฟเฟทท์ ได้ประกาศบริจาคเงินสูงถึง 31,000 ล้านดอลลาร์ (ถ้าอยากรู้ว่าคิดเป็นเงินบาทเท่าไรคร่าวๆก็ลองเอา 40 บาทไปคูณ) ซึ่งเป็นจำนวนประมาณ 85% ของทรัพย์สินมากกว่า 44,000 ล้านดอลลาร์ที่เขามีอยู่ในปัจจุบัน ให้กับ 5 องค์กรการกุศล และเลือกบริจาคเงินก้อนใหญ่ที่สุดให้กับมูลนิธิของบิลล์และเมลินดา เกตส์ (Bill & Merinda Gate Foundation) เจ้าของไมโครซอฟท์ที่รวยที่สุดอันดับ 1 ของโลกติดต่อกันมา 10 ปี มูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ มีทรัพย์สินอยู่แล้ว 30,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อรวมกับเงินบริจาคของนายบัฟเฟท์อีก 30,710 ล้านดอลลาร์ จะเป็นมูลนิธิที่มีกองทุนมากที่สุดในโลก มูลนิธินี้ให้ความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพและความยากจนในประเทศกำลังพัฒนา และส่งเสริมการศึกษาในประเทศตะวันตก (http://www.berkshirehathaway.com)การบริจาคดังกล่าวถือเป็นประวัติศาสตร์ของการบริจาคที่มาจากคนเพียงคนเดียวที่มากที่สุดในอเมริกา
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว นายบัฟเฟทท์ เคยให้สัมภาษณ์ลงในนิตยสารฟอร์จูน ฉบับวันที่ 29 กันยายน 2529 ไว้ตอนหนึ่งว่า “…That a very rich person should leave his kids enough to do anything but not enough to do nothing” “...มหาเศรษฐีควรมอบทรัพย์สมบัติไว้ให้แก่ลูกๆให้เพียงพอเท่าที่เขาจะทำอะไรได้ แต่จะไม่เพียงพอเลยหากงอมืองอเท้าโดยไม่ทำอะไรเลย”การตัดสินใจเปลี่ยนแผนการบริจาคของนายบัฟเฟทท์ ที่แต่เดิมเคยตั้งใจที่จะบริจาคทรัพย์สินหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว เหตุผลหลักอาจเป็นเพราะการจากไปของภรรยาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่แนวคิดเรื่องการบริจาคเงินจำนวนมากมายมหาศาลขนาดนั้นจะเป็นสิ่งที่นายบัฟเฟทท์ ได้วางแผนไว้ตั้งแต่เริ่มสะสมความร่ำรวยหรือหลังจากได้พบสัจธรรมบางอย่างจากการที่มีเงินมากมายมหาศาลนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
ที่เขียนมานี้ไม่ใช่ว่าจะสนับสนุนให้ทุกคนเร่งสะสมความร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง จนเผลอคิดไปว่า ทำอย่างไร? ถึงจะรวยเหมือนนายบัฟเฟทท์ หรือบิลล์ เกตส์ ถ้าฉันรวยขนาดนั้นก็จะบริจาคเหมือนกันแต่ตอนนี้เงินเรายังไม่มีอย่าเพิ่งคิดไปเลย
การตอบแทนสังคม ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็น“เงิน”เท่านั้น หากแต่การให้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำใจ การแบ่งปัน ความเอื้ออาทรให้กับคนรอบข้าง การให้ที่ใกล้หรือไกลตัวกับกลุ่มคนที่กำลังเดือดร้อน การทำนุบำรุงศาสนา การสละเวลาในช่วงวันหยุดจากการทำงานไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคมในองค์กร/ชุมชนต่างๆที่ยังต้องการกำลังแรงกายและทุนทรัพย์อีกมาก เหล่านี้คงเป็นคำตอบของการให้เพื่อตอบแทนสังคมที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ “เงิน” หรือ “วัตถุสิ่งของ”
หลายคนคงกำลังคิดว่ายังไม่พร้อมในตอนนี้ ไหนจะมีภาระงานที่รับผิดชอบในหน้าที่การงาน การเรียน เรื่องครอบครัว ยังไม่มีเวลาหรือด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม หากเรามีการวางแผนเพื่อตอบแทนสังคมสำหรับแต่ละคนคงจะทำให้สิ่งที่คิดว่ายังทำไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำได้ อันดับแรกควรเริ่มคิดถึงการตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปีนี้จะทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมและการกุศลต่างๆไว้อย่างไรเช่น ปีแรกแค่ 1-2 ครั้งก่อน ปีต่อๆไปค่อยขยายผล ซึ่งอาจแบ่งเป็น ช่วยเหลือเด็ก คนแก่ คนพิการ บำรุงศาสนาหรืออื่นๆ ส่วนคนที่ไม่มีเวลาจริงๆและจำเป็นต้องช่วยเหลือด้วยเงินนั้น ก็น่าจะเริ่มคิดถึงการตั้งงบประมาณสำหรับเรื่องนี้ เช่น จะใช้เงิน 5% ของรายได้ทั้งปี หรือ 5% ของเงินที่เหลือเก็บในแต่ละปีเพื่อกิจกรรมช่วยเหลือสังคม อาจแบ่งเป็น ช่วยเหลือเด็ก 2 % ผู้สูงอายุ 1% ด้านการศึกษา 1 % และทำบุญ 1% เป็นต้น
กว่าที่จะฝ่าพ้นพันธะทางกายและใจของตนได้ นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย จำนวนเงินที่มากหรือน้อยนั้นไม่สำคัญ แต่ความตั้งใจและความคิดที่จะช่วยเหลือสังคมต่างหากสำคัญกว่าสิ่งใด
..................................