“สาว” (นามสมมติ)
อายุ 41 ปี
แรงงานหญิง
ชีวิตของแต่ละคนคงไม่แตกต่างกัน บางช่วงของชีวิตอาจจะมีความสุข บางช่วงของชีวิตอาจจะมีความทุกข์ นับเป็นวัฏจักรของปุถุชนทุกชีวิตก็ว่าได้ เช่นเดียวกับชีวิตของ “สาว”
สาวเล่าถึงชีวิตของตนเองว่า “เรียนจบชั้นมัธยมฯ ที่บ้านบอกให้พอแล้ว จึงช่วยงานบ้าน ทำไร่ทำนาตามประสา พออายุ 21 ปี ได้แต่งงานกับสามี เป็นคนบ้านเดียวกัน และมีลูกสาว จึงคิดกันว่า น่าจะไปไต้หวัน เพราะพี่น้องไปก็ได้เงินกลับมา และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สาวและสามีจึงไปทำงานไต้หวัน ไปทำงานโรงงานทอผ้าที่เดียวกัน ตอนแรก ๆ ก็มีเงินเก็บมากมาย และทั้งคู่ก็ขยันทำงาน พอผ่านไปเกือบครบสัญญา 3 ปี สามีเริ่มเปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ เป็นคนละคน เริ่มติดสุรา ยาบ้า การพนัน และเริ่มนอกใจมีผู้หญิงอื่น สาวรับไม่ได้ จึงแยกทางกันอยู่ และเดินทางกลับมาบ้าน ด้วยหัวใจอันบอบช้ำ ทั้งเรื่องราวร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นกับลูก และตนเอง และการนินทาของชาวบ้าน ที่ว่าตนเองว่า “ไม่มีปัญญาดูแลสามี”
ด้วยความเป็นแม่ จึงต้องการเลี้ยงลูกในวัยเด็กเล็ก จึงทำให้สาวไม่ตัดสินใจไปไหนจากลูกเลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปห้าปี
ลูกของสาวที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สาวตัดสินใจต้องทำงานอีกครั้ง เพื่ออนาคตที่สดใสของลูกสาว จึงตัดสินใจอยากไปทำงานต่างประเทศอีกครั้ง ซึ่งประเทศที่ไปครั้งนี้ คือ ประเทศฮ่องกง เพราะมีพี่สาวที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง แนะนำมาอยากช่วยเหลือ เพราะญาติ ๆ ไปทำงานกันหลายคนแล้ว พี่สาวคนนี้จึงพาเดินเรื่อง ยื่นวีซ่า หาที่อยู่แถวสะพานควาย และให้รับจ้างทำงานหาเงิน เช่น เป็นแม่บ้าน นวดคนตามบ้านบ้าง และหาเวลาเรียนภาษาจีนแต้จิ๋ว ตกเดือนละ 5,000 บาท พร้อม ๆ กันกับหานายจ้าง ผ่านทางบริษัทฮ่องกงด้วย
เมื่อวีซ่าผ่าน ซึ่งสาวได้รอ และดำเนินการทุกอย่างเกือบสามเดือน จึงได้โบยบินไปฮ่องกง ด้วยเงินของตนเองที่สะสมมาทั้งหมดเกือบสามหมื่นบาท
สาวโชคดีที่พี่คนนั้น พากันเดินทางมาฮ่องกงด้วยเพียงสองคน เพราะมากันแบบกลุ่มจะทำให้ทางการเขาเพ็งเล็ง “หญิงไทยขึ้นชื่อว่าจะมาขายตัวที่ประเทศของเขา” สาวบอกว่าอย่างนั้น
สาวได้มาพักอยู่กับบ้านญาติอีกคนที่ได้สามีชาวฮ่องกง เกือบหนึ่งสัปดาห์ จึงมีนายจ้างมาขอ “ดูตัว” เพราะนายจ้างชาวฮ่องกง จะมีความเชื่อในการดูโหวเฮง และดูลักษณะนิสัยของคน ซึ่งสาวโชคดีที่ดูตัว เพียงครั้งเดียวก็ได้งานแล้ว
งานแรกของสาว คือ อยู่กับครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วยสามี ภรรยา และลูกสาววัยรุ่น ต้องอยู่ตึกแบบคอนโดสูง ๆ ชั้น 7 ทำทุกอย่างตั้งแต่นายจ้างตื่นนอน จนกระทั่งเข้านอน ดูแลความสะอาดบ้าน เสื้อผ้า ทำอาหาร ไปจ่ายตลาด และดูแลห้อง เพราะตนเอง ก็พักอาศัยในห้องเล็ก ๆ ร่วมกับครอบครัวนี้ มีวันหยุด 1 วัน คือ วันอาทิตย์ ที่สาวไม่ต้องทำอะไรเลย พอออกจากห้อง ไปเที่ยว แล้วก็เข้าห้องนอน
ความเหงาท่ามกลางตึกสูง ๆ น้อยใหญ่มากมาย ทำให้รู้สึกเดียวดาย “ ตอนแรก ๆ นึกนะ ว่าตัวเองมาทำอะไรอยู่ที่นี้ มองลงไปอยากกระโดดตึก แต่คิดว่า ตนเองไม่กล้าฆ่าตัวตาย เพราะมันบาป คิดถึงลูก ทำงานที่นี้เงินเดือนสองหมื่นห้า ต้องทนเพื่อลูก” นับเป็นความรู้สึกที่ต้องเผชิญกับความเหงาและใช้ความอดทนสูงในการปรับตัว
การปรับตัวของสาวมีมากมาย ตั้งแต่การสื่อสารเรื่องภาษา การเดินทางไปจ่ายตลาด ความไม่ถูกปากในเรื่องรสชาติอาหารที่คนจีนกินกันแต่รสจืด ๆ ความจู้จี้จุกจิก ความเจ้าระเบียบและความโมโหง่ายของนายจ้างเป็นบางครั้ง และปัญหาเรื่องสุขภาพ “อากาศบ้านเขา มันชื่น ๆ แฉะ ๆ ทำให้เป็นเชื้อราตามเท้า บางครั้งคันทั้งตัว และจู่ ๆ ฝนก็ตก
สาวได้ทำงานกับครอบครัวนี้ 1 แท็ก ๆ ละ 3 ปี ถ้าอยากกลับมาเมืองไทยก็ได้ แต่สาวไม่ยอมกลับ มีเพียงสื่อสารทางโทรศัพท์มาหาลูกสาว และแม่ เพราะอยากทำงานต่อ
แท็กที่ 2 และ แท็กที่ 3 ได้งานอยู่คอนโด ชั้น 10 กับยายแก่ ลำพังสองคน ซึ่งนาน ๆ ลูกหลานจะมาเยี่ยมยาย ยายเป็นคนใจดี ไม่ค่อยมีอะไรทำมากนัก แต่ถ้าลูก ๆ มา จะทำให้สาวปวดศีรษะและประสาทกิน เพราะจู้จี้จุกจิก เสียงดังตามประสาคนจีน ว่าเราไม่ทำความสะอาดบ้าง ทำบ้านไม่เรียบร้อย โกงเงินค่าอาหารหรือเปล่า ตอนแรก ๆ ก็อยากลาออก แต่ต้องควบคุมตนเอง เพราะยังอยากได้เงินค่าจ้างกับเขา และอย่างไรก็ดี ยายเป็นคนน่าสงสาร อยู่ด้วยหลายปี จนรู้ใจกัน
แต่ส่วนใหญ่ สาวเล่าว่า “คนจีนเขาชอบแรงงานไทย เพราะขยัน อดทน มารยาทดี ใจเย็น แตกต่างกับชาติอื่น ๆ สาวเล่าถึงประสบการณ์เฉียดตายว่า “วันหนึ่งไปรับยาให้คุณยายที่โรงพยาบาล ขากลับมีพายุหนัก พัดร่างจนเซ รีบขึ้นรถไฟ แต่เขายังไม่แล่น รอจนพายุสงบลงบ้าน ระหว่างนั้น มีลูกคุณยายโทรหาบอกว่า ตั้งสติดี ไม่ต้องรับกลับ ดูแลตนเองดี ๆ ทำให้เรารับรู้ว่าเขาก็มีน้ำใจและห่วงใยเราบ้าง”
ตอนใกล้จะจบแท็ก 3 ยายที่อยู่ด้วยเสียชีวิต ทำให้ลูกของยายคนหนึ่ง ให้มาอยู่ด้วย เพราะมีเด็กเกิดใหม่ ให้มาทำงานต่อกับครอบครัวนี้ “งานเลี้ยงเด็ก จะสบายตอนเด็กอ่อน ๆ เพราะเขานอนอย่างเดียว ทำให้เราสามารถทำงานอื่นได้ แต่พอโตก็เริ่มวุ่นวาย ต้องคอยดูแล ป้องกันความปลอดภัย ประตูห้องต้องดูให้ดี เพราะกลัวน้องตกตึก ตอนน้องนอน บางช่วงก็คิดไปเรื่อย ๆ ชีวิตของตนเอง เหมือนนกในกรง เพราะวัน ๆ อยู่ในห้องแคบ ๆ อยู่อย่างนั้นเกือบ 24 ชั่วโมง”
สาวอยู่ฮ่องกงถึง 9 ปี ถึงได้กลับมาบ้าน ตอนนี้ลูกสาวกำลังเรียนจะจบชั้นมัธยม 6 มีความภูมิใจที่ตนเองสามารถหาเงินได้ตอนนี้ตกเดือนละ 3 หมื่นบาท สามารถสร้างบ้าน และเลี้ยงดูลูก และแม่ได้ เป็นงานสบาย ถึงเหงาและโดดเดี่ยวบ้าง แต่เมื่อเห็นลูกเติบโต และเรียนหนังสือได้ดี อยากเรียนครู ทำให้สาวตัดสินใจจะกลับไปทำงานที่ฮ่องกงอีกครั้ง
ด้วยเหตุผลที่ว่า “เราก็เป็นนกในกรงแบบนี้มานานแล้วนะ ไม่สามารถไปไหนได้อีก รู้เพียงว่าเราสามารถมีชีวิตอยู่แบบนี้ก็อยู่ไป อยู่เพื่ออนาคตลูก...”
*********************
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ทิมดาบ ใน เรื่องเล่า...รอยเท้า...ทางเดิน...เหินฟ้า
ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก