การใช้หลักธรรมในงานสังคมสงเคราะห์
หลักธรรม แปลตามพจนานุกรม ได้ว่า หลักคำสั่งสอนในศาสนา ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติให้มนุษย์มีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างปกติสุข
ความเป็นมางานสังคมสงเคราะห์
เป็นสาขาวิชาชีพ ซึ่งมุ่งปรับปรุงคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของปัจเจกบุคคล บุคคล กลุ่มหรือชุมชน โดยดำเนินการผ่านการวิจัย นโยบาย การจัดชุมชน การปฏิบัติโดยตรงและสอนในนามของผู้ประสบความยากจนหรือผู้ที่ได้รับหรือรู้เห็นความยุติธรรมในสังคมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ปรัชญางานสังคมสงเคราะห์
เป็นความคิดในลักษณะการกุศลหรือเพื่อการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อน โดยมองมนุษย์ว่าสามารถพัฒนาศักยภาพของตนได้เน้นการให้ความสำคัญกับศักยภาพ สิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปรัชญาในงานสังคมสงเคราะห์ คือ การช่วยเหลือเขาให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นปรัชญาพื้นฐาน ของสังคมสงเคราะห์
หลักธรรมที่นำมาประยุกต์ใช้ในงานสังคมสงเคราะห์
พรหมวิหาร 4
ความหมายของพรหมวิหาร 4
- พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่
เมตตา ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
กรุณา ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุทิตา ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
อุเบกขา การรู้จักวางเฉย
คำอธิบายพรหมวิหาร 4
1. เมตตา : ความปราถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้
และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ เป็นต้น
2. กรุณา : ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกาย
ไม่สบายใจ และเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่าความทุกข์มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
- ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด การเจ็บไข้ ความแก่และ
ความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์
- ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทุกข์
3. มุทิตา : ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี คำว่า "ดี" ในที่นี้ หมายถึง การมีความสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึงหมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ไม่มีจิตใจริษยา ความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธ ความฟุ้งซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วครูชมเชยก็เกิดความริษยาจึงแกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของเพื่อนนักเรียนคนนั้นให้สกปรกเลอะเทอะ เราต้องหมั่นฝึกหัดตนให้เป็นคนที่มีมุทิตา เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตรกับผู้อื่นได้ง่ายและลึกซึ้ง
4. อุเบกขา : การรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทำ เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ในงานสังคมสงเคราะห์นำหลักธรรมเข้ามาสอดแทรกในการให้ความช่วยเหลือกับผู้ประสบปัญหาที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อให้การทำงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือมีความครอบคลุมมีหลักที่จะจัดการปัญหาเข้าใจและเข้าถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่งานสังคมสงเคราะห์ที่นำหลักธรรมเข้ามาใช้ แต่ไม่ว่าจะงานใดก็แล้วแต่ ก็สามารถที่จะนำหลักธรรมมาใช้กับงานของตนได้เช่นกัน หากทุกคนต่างรู้จักหน้าที่ของตนเอง ที่ต้องปฏิบัติกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เคารพในสิทธิส่วนบุคคล ให้เกียรติซึ่งกันกัน ไม่เบียดเบียนกัน สังคมก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
แหล่งอ้างอิง
เอกสารประกอบการเรียน สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ไม่มีความเห็น