รายงานของ Amnesty International มีใจความว่า ตั้งแต่การยึดอำนาจปี 2014 (2557) เจ้าหน้าที่ทางการทหารในประเทศไทยนำวัฒนธรรมการทรมาน และการรักษาโรคร้ายอื่นๆเพื่อใช้ตลอดประเทศ เช่น ทหาร และตำรวจมุ่งไปหาผู้ก่อความไม่สงบที่สงสัย, ผู้เห็นต่างทางการเมือง, และปัจเจกบุคคลที่ด้อยโอกาสในสังคม
ในรายงานกล่าวถึง “จงทำให้เขาพูดได้ในวันพรุ่งนี้” : การทรมาน และการรักษาโรคร้ายอื่นๆในประเทศไทย มีกรณีศึกษาถึง 74 อย่างในเรื่องการทรมาน และการรักษาโรคร้าย ที่ทำโดยทหาร และตำรวจ นี่รวมถึงการตี, การทำให้หายใจไม่ออก โดยการใช้ถุงพลาสติก, บีบคอโดยมือหรือเชือก, การสำลักน้ำ (waterboarding), การช็อตด้วยไฟฟ้าที่อวัยวะสืบพันธุ์, และรูปแบบอื่นๆของการทำให้ขายหน้าหรืออัปยศอดสู
Rafendi Djamin ที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ Amnesty International ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิก กล่าวว่า “ประเทศไทยอาจอ้างว่าตนเองเลิกทรมานแล้ว แต่การกระทำย่อมส่งเสียงดังกว่าการพูด การให้อำนาจโดยกฎหมายที่ตนเองออกมา ผู้ปกครองที่เป็นทหารนำวัฒนธรรมการทรมานมาใช้ทั้งประเทศ ในขณะที่ไม่มีความโปร่งใส หรือการอธิบายใดๆแก่ผู้กระทำผิด และไม่มีความยุติธรรมสำหรับเหยื่อ”
กฎอัยการอัยการศึก และพระราชกฤษฎีกาหลังการยึดอำนาจทำให้ทหารมีสิทธิต่างๆในการกักกันที่ขาดการติดต่อจากผู้อื่นกับปัจเจกบุคคล ในที่ที่ไม่ได้ระบุเป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว เหยื่อหลายคนได้สัมภาษณ์กับ Amnesty ว่าพวกเขาถูกทรมาน และการรักษาโรคร้ายในรูปแบบอื่นๆ
กำลังของตำรวจได้ใช้การทรมานและการรักษาโรคร้ายในรูปแบบอื่นๆต่อประชาชนจำนวนมาก เช่น ผู้อพยพ, คนที่สงสัยว่าติดยาเสพติด, สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์, และอื่นๆ ทาง Amnesty ได้รับรายงานว่าการกระทำผิดเหล่านี้มีมากขึ้นหลังการยึดอำนาจ
ในสภาพแวดล้อมที่เจ้าหน้าที่ที่มีจำนวนน้อยมากๆ และผู้กระทำงานด้านมนุษยชน ที่ถูกหมิ่นประมาทเรื่องอาชญากรรมจึงแทบไม่มีโอกาสในการแถลงเรื่องการทรมานและการรักษาโรคร้ายในรูปแบบอื่นๆต่อสาธารณะ รายงานนี้ได้มาจากผู้รอดชีวิต, ครอบครัว, และคนที่เอ่ยชื่อไม่ได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
แปลและเรียบเรียงจาก
Amnesty International. Thailand: A culture of torture under the military
ไม่มีความเห็น