..................................................
ก่อนอื่นผมต้องขอแนะนำคุณวราพรว่าเป็นลูกศิษย์ผมตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ปี 2 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และก็ได้ช่วยงานผมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่า... MFT และตอนนี้ผมก็พยายามฝึกให้เขาเป็นผู้นำซึ่งก็จะทำหน้าที่ดูแลบล็อกนี้ต่อไป
และขอสวัสดีคุณ JJ ที่มักจะส่งรูปประหลาด ๆ มาให้ผมดูพร้อมกับคำคม ๆ ที่น่าสนใจมาถึงผมเสมอ ๆ ผมเดาว่าคุณ JJ น่าจะเป็นหมออยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ต้องขอขอบคุณที่ท่านมักจะให้กำลังใจผมเสมอ
สำหรับเรื่อง Tacit Knowledge ที่คุณ JJ พูดถึงนั้น ผมขออธิบายว่า มันหมายถึงความรู้ที่อยู่ข้างในของแต่ละคน โดยทั่ว ๆ ไปความสำเร็จของคนมาจากข้างในและข้างนอก สำหรับบางคนซึ่งไม่ค่อยได้เขียน หรือนำเสนอความคิดของตัวเองออกมาก็ถือว่าไม่ได้เอาความรู้ข้างในมาใช้ให้เกิดประโยชน์
สำหรับผมนั้นหลายท่านอาจจะมองว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ มีปัญญา ข้ามศาสตร์ หิวความรู้ นั้นเพราะผมได้สะสมความรู้มาเป็นเวลานานกว่า 50 ปี
เวลาที่ผมสอนหนังสือผมชอบให้สร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ที่ความรู้จากข้างในจะถูกนำเสนอออกมาเพราะเกิดจากความกระตือรือร้นในปัญญาของเราที่อยากแสดงออกมากขึ้น
คนส่วนใหญ่ถ้าจบมหาวิทยาลัยมาแล้วไม่แสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องดังนั้นสมองของเราทั้งซีกซ้ายและซีกขวาก็จะไม่ทำงาน การที่จะเค้นความเป็นเลิศให้ออกมานั้นประสบการณ์จะช่วยได้ จะช่วยให้สามารถจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในความคิดของผมหากจะเปรียบเทียบ Tacit Knowledge กับทฤษฎีทุนของทรัพยากรมนุษย์ของผมก็เปรียบได้กับทุน 3 ชนิด คือ 1) ทุนแห่งความสุข (Happiness Capital) ซึ่งเกิดจากการที่เรามีความรู้อยู่ข้างใน ตัวอย่างเช่นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาผมไปบรรยายเรื่องภาวะผู้นำให้แก่นักการธนาคารที่ธนชาติก่อนผมจะไปผมถามตัวเองว่าวันนี้เราจะมีความสุขหรือไม่ เพราะผู้ฟังที่เป็นนักการธนาคารอาจจะไม่สนใจเรื่องภาวะผู้นำ (Leadership) แต่บรรยากาศในวันนั้นทุกคนกับสนใจเรื่องที่ผมได้นำประสบการณ์จากตัวผมในเรื่องคุณลักษณะและบทบาทของผู้นำมาแลกเปลี่ยนกัน
2) ทุนทางความคิดสร้างสรรค์ (Creativity Capital)ซึ่งเกิดจากการสะสมประสบการณ์ของเรามาเป็นเวลานาน และการหาทางออกที่มากกว่า 1 หรือ 2 ทาง
3) ทุนแห่งความยั่งยืน (Sustainability Capital) ซึ่งคนไม่เข้าใจ แต่หากจะอธิบายง่าย ๆ ก็คือการที่เราเห็นความเจ็บปวดและเอาความเจ็บปวดนั้นมาเป็นประสบการณ์และสร้างความสำเร็จ
ทั้งหมดนี้จะฝากความรู้ไว้สำหรับคุณ JJ และหวังว่าคุณ JJ จะประกาศตัวซะทีว่าเป็นใครนะครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์
จะแวะเข้ามาอ่านและแลกเปลี่ยนบ่อย ๆ ครับ
..................................................
2. Skills และ Competencies สำหรับข้าราชการระดับกลาง ข้าราชการระดับกลาง ได้แก่ ข้าราชการระดับ 8-9 ดังนั้น Skills และ Competencies ระดับนี้ ควรจะให้ความสำคัญในด้าน
3. Skills และ Competencies สำหรับกลุ่มคลื่นลูกใหม่
ข้าราชการที่เป็นกลุ่มคลื่นลูกใหม่ ได้แก่ ข้าราชการรับ 5-7 ซึ่งจะเป็นผู้นำพาการเปลี่ยนแปลงมาสู้ระบบราชการในระยะยาว ดังนั้น Skills และ Competencies ระดับนี้ควรจะให้ความสำคัญในด้าน
ทฤษฎีวงกลมที่ 3 :คือ Motivation หรือ แรงจูงใจในระบบการทำงาน
ทฤษฎีวงกลมที่ 3: คือเมื่อมีวงกลมที่ 1 และวงกลมที่ 2 แล้ว ในระบบราชการจะต้องแน่ใจว่าการบริหารจัดการขององค์กรกระตุ้น หรือ Motivation ข้าราชการให้ทำงานอย่างเต็มที่ซึ่งมีการวิเคราะห์เรื่องโครงสร้างเงินเดือน สวัสดิการที่จะต้องสอดคล้องกับ Performance หรือระบบจูงใจอื่นๆ เช่นการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การให้ empowerment และวัฒนธรรมองค์กร (corporate culture) ที่ต้องปรับปรุงให้เหมาะสมการทำงานให้มีประสิทธิภาพโดยการใช้ Motivation ซึงควรพิจารณาจาก
1. ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคลากรในองค์กร
2. ความสามารถและผลงาน
3. ระยะเวลาการทำงาน
4. สิ่งที่บุคลากรในองค์กรคาดหวังในการทำงาน นอกจากการพิจารณาถึงตัวข้าราชการแล้ว ควรพิจารณาถึงสภาแวดล้อมในการทำงาน วัฒนธรรมองค์กรและเพื่อนร่วมงานด้วย การให้ Motivation สำหรับข้าราชการในการทำงานนั้น สามารถทำได้หลายวิธี โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. ค่าตอบแทนที่เป็นไปได้
2. การให้อำนาจในการตัดสินใจ/ การให้มีส่วนร่วมบุคคลบางประเภทจะรู้สึกพอใจที่จะได้มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็น และส่วนร่วมตัดสินใจโดยเขาจะ รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาองค์กรให้อยู่รอด การพยายามให้เห็นว่าคือเจ้าขององค์กรเหมือนกัน
3. การสร้างบรรยากาศการทำงานให้มีการทำงานร่วมกันและการสร้างทีมในการทำงาน เพื่อจะได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ช่วยกันคิดเพื่อการพัฒนาองค์กร ให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
4. การมอบงานที่ท้าทาย และงานใหม่ ๆ ที่น่าสนใจการมอบหมายงานลักษณะนี้จะเหมาะสำหรับบุคคลที่ไม่ชอบการทำงานประจำ และงานอยู่กับที่ ดังนั้นบุคคลเหล่านี้ จะพอใจที่ได้ทำงานที่แปลกใหม่ และท้าทายความสามารถของตนเอง
5. การสร้างบรรยากาศในที่ทำงานให้เกิดสังคมการเรียนรู้ เพื่อที่ข้าราชการจะได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมีการเพิ่มทักษะในการพัฒนาตนเอง และพัฒนางาน
6. การให้ความเป็นธรรมและการประเมินผลอย่างโปร่งใส การทำงานใดๆ ก็ตาม บุคคลที่ตั้งใจและการรับผิดชอบในการทำงาน น่าจะได้รับผลตอบแทน สมควรกับความตั้งใจของเขา คนที่ทำงานดี มีความตั้งใจในการทำงาน น่าจะได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม คนที่ทำงานไม่รับผิดชอบและไม่ตั้งใจในการทำงานควรได้รับการพิจารณาผลงาน ดังนั้น การทำงานใยทุกกระทรวง ทบวง กรม ลงไปถึงระดับกองและแผนก จึงควรมีการประเมินผลอย่างใกล้ชิดและ ยุติธรรมเพื่อที่จะได้นำมาแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาองค์กรในระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ
7. การสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้น่าอยู่มีสิ่งจำเป็นที่ใช้ในการทำงาน ฯลฯ กล่าวโดยสรุปแล้ว นอกจากข้าราชการมีความรู้ความสามารถ และทักษะที่ดี ประกอบกับการมีสถานที่ทำงานที่มีความพร้อมแล้ว สิ่งหนึ่งที่มีความจำเป็นไม่ น้อยกว่าก็คือข้าราชการ จะต้องมีกำลังใจ มีความพึงพอใจ มีความตั้งใจ และ ทัศนคติที่ดีในการทำงาน ฉะนั้น การสร้างแรงจูงใจสำหรับข้าราชการเป็นสิ่งที่จำเป็น
บทความจาก วารสาร เส้นทางสู่ศตวรรษใหม่ ฉบับประจำเดือน กรกฎาคม -สิงหาคม 2002
วราพร ชูภักดี
ทีมงาน Chira Academy