ระบบกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษาไทย มีหลายชั้น ชั้นที่ใกล้ชิดที่สุดคือสภามหาวิทยาลัย ซึ่งในทุก พรบ. ของมหาวิทยาลัยกำหนดให้มีลักษณะ “กำกับดูแลแบบมีส่วนร่วม” (participatory governance) ซึ่งหมายความว่า ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยเอง มีตัวแทนเข้าไปนั่งในสภามหาวิทยาลัยด้วย ดังตัวอย่าง พรบ. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่เพิ่งประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาใหม่ๆ หมาดๆ ที่นี่
ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีวาระเสนอร่าง ข้อบังคับต่างๆ เพียบ วาระหนึ่งคือ ร่างข้อบังคับว่าด้วยการสรรหากรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเสนอให้มีคณะกรรมการสรรหา ๗ คน ประกอบด้วย ประธานสภาอาจารย์ ประธานสภาพนักงาน นายกสมาคมศิษย์เก่า กรรมการสภามหาวิทยาลัยจากผู้บริหาร ๓ คน และกรรมการสภามหาวิทยาลัย จากผู้ปฏิบัติงาน ๑ คน ผมพิจารณาแล้ว เห็นว่าองค์ประกอบยังไม่มีคนที่มีประสบการณ์และมีแวดวงกว้างขวาง อย่างถึงขนาด จึงให้ความเห็นต่อที่ประชุมว่าน่าจะพิจารณาใหม่ให้รอบคอบ โดยยกตัวอย่างบางมหาวิทยาลัย ที่ผมมีประสบการณ์ มีนายกสภาและอธิการบดีอยู่ด้วย
โดยผมชี้ว่า ในตอนติดต่อเชื้อเชิญคนมาเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒินั้น หากคนที่โทรศัพท์ไปเชิญเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก หรือไม่เป็นผู้ใหญ่พอ คนเก่งๆ ที่งานมากอยู่แล้วอาจปฏิเสธ ผมไม่ได้พูดว่า หากการสรรหาได้แต่คนที่อยากเป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ เพราะจะเป็นการเพิ่มเกียรติประวัติของตน มหาวิทยาลัยจะขาดทุน เพราะจะไม่ได้คนที่คิดลึกซึ้งพอ หรือมีประสบการณ์กว้างขวางพอ
จึงมีการอภิปรายขยายความจากคณะกรรมการยกร่างข้อบังคับจับความได้ว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยงอิทธิพลของอธิการบดี เกรงอธิการบดีจะเข้าไป “ครอบงำ” คณะกรรมการสรรหาเพื่ออำนาจของตน เพื่อให้ได้กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิที่อยู่ในอาณัติของตน ซึ่งก็มีให้เห็นในประเทศไทย
แต่ผมเห็นตรงกันข้าม เห็นว่า ต้องมีกรรมการสรรหาที่มีวุฒิภาวะและเป็นที่ยอมรับนับถือสูง สำหรับให้ความเห็น และสำหรับใช้พลังส่วนตัวเชื้อเชิญคนเก่งถึงขนาดมาเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยต้องมีกลไกป้องกันผู้ใหญ่ที่มีพฤติกรรมทำเพื่ออำนาจของตนเองไม่ให้เล็ดลอดเข้าไป
จะเห็นว่าการ “กำกับดูแลแบบมีส่วนร่วม” นั้น เป็นเพียงมิติหนึ่ง ยังต้องมี “การกำกับดูแลเชิงรุก” และการกำกับดูแลอย่างมี performance สูง ร่วมด้วย
วิจารณ์ พานิช
๓๐ ก.ค. ๒๕๕๙
ไม่มีความเห็น