CoP เป็นกลุ่มคนที่มารวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิผลที่ดีขึ้นส่วนใหญ่การรวมตัวกันในลักษณะนี้มักจะมาจากคนที่อยู่ในกลุ่มงานเดียวกันหรือมีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งร่วมกัน ซึ่งความไว้วางใจและความเชื่อมั่นใน
การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันจะเป็นสิ่งที่สำคัญ Cop จะมีความแตกต่างจากการที่บุคคลมารวมกลุ่มกันเป็นทีมปฏิบัติงานปกติทั่วไปตรงที่ Cop
เป็นการรวมตัวกันอย่างสมัครใจ เป็นการเชื่อมโยงสมาชิกเข้าด้วยกัน โดยกิจกรรมทางสังคม ไม่ได้มีการมอบหมายสั่งการเป็นการเฉพาะและจะเลือกทำในหัวข้อหรือเรื่องที่สนใจร่วมกันเท่านั้น
ความรู้ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนในกลุ่ม CoP จะพัฒนาเป็นองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการทำงานของบุคคลและองค์กรต่อไป และจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการในท่ามกลางบรรยากาศแบบสบาย ๆ ประกอบกับการใช้เทคนิคที่เรียกว่าสุนทรีสนทนา (Dialogue) ซึ่งเป็นการสนทนาที่เคารพความคิดเห็นของผู้พูด ให้เกียรติกัน ให้โอกาสกัน และไม่พยายามขัดขวางความคิดใคร กับรับฟังผู้อื่นพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ (Deep Listening)
กรมการปกครองเริ่มชุมชนแห่งการเรียนรู้ (CoP) นำร่องที่ วิทยาลัยการปกครอง.
จากการที่กรมการปกครองได้รับความไว้วางใจจากกระทรวงมหาดไทยและรัฐบาลมอบหมายให้เป็นภาคส่วนหลักในการปฏิบัติภารกิจที่สำคัญระดับชาติต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น การรักษาความมั่นคงภายในการแก้ไขปัญหายาเสพติด การบูรณาการแก้ไขปัญหาความยากจน เป็นต้น แสดงถึงการมีบุคลากรที่เป็น “ทุนทางสังคม” อยู่เป็นพื้นฐานในองค์กร กรมการปกครองจึงได้ส่งเสริมให้มีการจัดการความรู้ เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลในรูปของการจัดชุมชนแห่งการเรียนรู้ขึ้น โดยนำร่องที่วิทยาลัยการปกครองก่อน เรียกว่า “โครงการชุมชนแห่งการเรียนรู้ ( CoP ) วิทยาลัยการปกครอง” โดยมีวัตถุประสงค์ใหญ่ ๆ 3 ประการ คือ
(1) นำทฤษฏีการจัดการองค์ความรู้ ( KM ) มาสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่การปฏิบัติงานจริง
(2) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสื่อสารทั่วองค์กร ( Communication ) ด้านการจัดการองค์ความรู้
( (3) เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ การใช้เครื่องมือ CoP ในกระบวนการ KM สำหรับแนวทางดำเนินการ กำหนดไว้ ดังนี้
3.1 การประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร
3.2 ทำหนังสือเวียน เชิญชวน ข้าราชการ ลูกจ้าง ร่วมเป็นสมาชิกชุมชนแห่งการเรียนรู้
3.3 เชิญสมาชิกประชุมปรึกษาหารือ ร่วมคิด ร่วมทำกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความรู้ ตามหัวข้อที่อยู่ในความสนใจของสมาชิก
3 3.4 ประสานงานเรื่องสถานที่ประสานงานบุคคลและงานธุรการอื่น
3. 3.5 จัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ
3.6 จัดทำสรุปการเสวนาของ CoP เพื่อเผยแพร่ จัดกิจกรรม กระตุ้น ส่งเสริม เป็นระยะ ๆ
3.7 ติดตามประเมินผลการดำเนินการและรายงาน
จากการที่ ปค. ( วปค. ) ได้รับมอบหมายจาก สำนักงาน ก.พ.ร. ให้ดำเนินการตามแผนการจัดการความรู้ ( KM ) เพื่อสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจนนั้น วปค. ได้เริ่มนำเทคนิค CoP มาใช้ในกระบวนการจัดการความรู้ ( KM Process ) เพื่อให้ทฤษฎีการจัดการความรู้นำไปสู่การปฏิบัติอย่างได้ผล และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร และบุคลากรของ ปค. ในการขยายผล หรือผลักดันให้การจัดการความรู้ ( KM ) เพื่อสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจนเกิดสัมฤทธิผลอย่างเป็นรูปธรรม
การอนุมัติโครงการ
นายก้องเกียรติ อัครประเสริฐกุล ร.อปค.บห. ในฐานะผู้บริหารด้านการจัดการองค์ความรู้ ( Chief knowledge officer : CKO ) ของ ปค. ได้เห็นชอบและกรุณาอนุมัติโครงการ เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2549
การดำเนินการตามโครงการ
ในวันที่ 4 เม.ย. 2549 เวลา 09.00 น. ณ. ห้องประชุมเล็กชั้น 4 อาคาร สำนักอธิการ วปค. อธ.วปค. ได้เปิดตัวโครงการเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อว่า CoP kick off’s Day วิทยาลัยการปกครอง โดยมีข้าราชการและลูกจ้าง วปค. ให้ความสนใจ เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 30 คน โดยในเบื้องต้นกลุ่มสมาชิกชุมชนแห่งการเรียนรู้ ( CoP ) ให้ความสนใจในประเด็นหัวข้อ “กิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีใน วปค.” ซึ่งทุกคนได้มีการนำเสนอความคิดเห็นอย่างเป็นกันเองและเป็นอิสระ ภายใต้เทคนิคที่เรียกว่า สุนทรีสนทนา ( Dialogue )
แผนการดำเนินการต่อไป
1. ดำเนินกิจกรรมเสริมสร้างความสามัคคีภายใน วปค. เช่น จัดแข่งขันกีฬา การทัศนศึกษา ฯลฯ
2. สำรวจความต้องการหัวข้อที่กลุ่มสมาชิกให้ความสนใจที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้
3. จัดประชุมในบรรยากาศสบาย สบาย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามหัวข้อที่กลุ่มสมาชิกให้ความ สนใจ แบบสัญจร ณ สถานที่ ที่กลุ่มสมาชิกกำหนด
ไม่มีความเห็น