นิตยสาร Scientific American Mind ฉบับเดือน กรกฎาคม/สิงหาคม ๒๕๕๙ ลงบทความเรื่อง Banking Against Alzheimer’s บอกเราว่า แม้ว่าเราสั่งให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสมอง ที่มาจาก ความชราไม่ได้แต่เราสามารถสั่งสมพลังของการเรียนรู้ ที่เรียกว่า cognitive reserveซึ่งอาจหมายถึงพลัง สำรองของสมองที่ทำให้แม้มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่มากับความชราแต่ก็ไม่เกิดอาการหลงลืม (dementia)
กายภาพมีริ้วรอยความชราแต่สมองยังแจ๋วเกิดได้จากการสั่งสมพลังสมอง
เป้าหมายคือให้สมองยังดีอยู่จนถึงวันตายซึ่งสมัยนี้หวังยากเพราะคนเราอายุยืนขึ้นมากต่างจากคนสมัยก่อน ที่มักตายเสียก่อนสมองจะเสื่อม
ผู้เขียบบทความ คือ David A. Bennett เป็นหมอนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสมอง (Neuroscience) และเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยที่ทำงานวิจัยระยะยาวในคนสูงอายุถึง ๓,๒๐๐ คนจนเมื่อคนเหล่านั้นตายก็ อุทิศสมองให้ศึกษา รายละเอียดในสมองต่อ
ข้อค้นพบสำคัญคือคนแก่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสมองที่เกิดจากความชราทุกคนแต่เพียงครึ่งเดียวของคนที่มีการเปลี่ยนแปลงของสมองเช่นนั้น ที่เกิดอาการหลงลืม อะไรคือปัจจัยที่ป้องกัน คนครึ่งหนึ่งจากอาการหลงลืม
คำตอบข้อที่ ๑ พันธุกรรมครับเป็นข่าวดีสำหรับคนที่มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่สมองยังแจ๋วจนแก่เฒ่า และตายไปอย่างผม
คำตอบข้อที่ ๒ อาหาร เขาบอกว่ามี MIND Diet ช่วยบำรุงสมองอาหารสูตรนี้คือ ผลไม้จำพวก berry, ผัก, ธัญญพืชที่เป็น whole grain, และเมล็ดผลไม้ (nut)จะช่วยลดความเสี่ยงของอาการหลงลืม เข้าใจว่าอาการสุขภาพนี้ไปลดสารพิษต่อสมอง
คำตอบข้อที่ ๓ พฤติกรรม หรือกิจกรรม คนสูงอายุที่ยังมีกิจกรรม ไม่ว่าการงาน งานสังคม หรือกิจกรรมออกกำลังกายจะเป็นโรคหลงลืมได้ยากขึ้น
ผมขอแนะนำให้คนที่ต้องการสร้างตัวเป็นนักวิจัยอ่านบทความนี้ เพราะผู้เขียนบอกวิธีออกแบบการวิจัยระยะยาวของสถาบันอย่างฉีกแนวทำให้มีผลงานวิจัยไขความลับของการสั่งสมพลังสมอง ตามที่เขียนในบทความนี้
แถมยังเขียนได้สนุกสนานน่าอ่านเป็นบทความที่คนธรรมดาอ่านเข้าใจง่ายโดยยกตัวอย่างผู้ป่วย ตัวจริงสองคน เพศหญิงเหมือนกัน เริ่มต้นวิจัยอายุ ๘๐ วัดความสามารถของสมอง ด้วย Global Cognition Test ได้ค่าเท่าๆ กันแต่คนหนึ่งมีอาการหลงลืม และผลการวัด GCT ลดลงต่อเนื่องในขณะที่อีกคนหนึ่งสมองยังดี จนตายอายุ ๘๗ พอๆ กันแต่ผลการวัด GCT ยังอยู่ในระดับเดิมจนตาย คำตอบของความแตกต่างอยู่ที่ วิถีชีวิตต่างกัน
คนแรกเรียนจบเพียงชั้นมัธยมคนหลังจบมหาวิทยาลัยและมีคะแนนทดสอบบุคลิก สูงด้าน เป็นคน “มีเป้าหมายชีวิต”มีมโนธรรมและคะแนนต่ำด้าน ประสาทอ่อนกังวลซึมเศร้าและหลีกเลี่ยง อันตรายที่คนหลังคะแนนสูงมากคือ มี “พื้นที่ชีวิต” กว้างมาก
ผู้เขียนเสนอ “บัญญัติสิบประการ” เพื่อการมีสมองดียามชรา ได้แก่
ทำให้นึกถึงท่านองคมนตรี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย เคยกล่าวว่าคนแก่มี ๓ กลุ่มคือกลุ่มติดสังคม กลุ่มติดบ้านกับกลุ่มติดเตียง ที่ชีวิตดีดีที่สุดคือกลุ่มแรก บัญญัติสิบประการข้างต้นจะช่วยผู้สูงอายุให้ดำรงชีวิตอยู่ในกลุ่มแรกได้นานที่สุดให้ช่วงชีวิตในกลุ่มที่สองและสามสั้นที่สุด
วิจารณ์ พานิช
๑๖ ก.ค. ๕๙
ไม่มีความเห็น