ต้นปี 2559 ผู้เขียนได้พาญาติผู้ใหญ่ไปไหว้พระและเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ และเดือนพฤษภาคม 2559 ก็ไปติดต่อเรื่องปลูกสักที่จังหวัดเชียงใหม่ มีโอกาสไปไหว้พระที่วัดดาราภิรมย์ ไปถึงวัดก็ใกล้เวลาจะปืดวัด ฝนตกตั้งแต่บ่ายยังไม่หยุดแม้กระทั่งเย็นย่ำ
ภาพที่เราสังเกตเห็นได้บ่อย ๆ แต่ไม่ได้พูดถึงก็คือพระกวาดลานวัด กวาดบริเวณโบสถ์ ในเขตวัดและทางเข้าออกด้านนอกวัด ... ผู้เขียนเห็นท่านกวาดใบไม้เศษเล็กเศษน้อย แทบจะไม่เหลือให้กวาด ทั้งที่ฝนตกปรอย ๆ ความรู้สึกร่มเย็น สงบเบิกบาน ไม่ใช่เพียงแค่การน้อมใจและกายก้มลงกราบพระพุทธรูปที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น แต่เป็นการน้อมจิตคารวะการปฏฺิบัติการงานท่ามกลางบรรยากาศค่ำครึ้ม ลมพัดเย็น และฝนตกไม่ขาดสาย ที่หลายคนอาจจะซุกกายนอน หรือหลบในห้องพักอย่างสบายกาย
อาจเป็นภาพคุ้นตาเมื่อเราได้เข้าไปในวัด ผู้เขียนหยิบภาพความทรงจำตามที่ปรากฎในรูปข้างต้นนี้มาเล่าเรื่อง เพื่อจะบอกว่าคงเป็นวัยวุฒิที่เรามองเห็นโลกมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้นกระมัง จึงนำภาพที่ดูเหมือนธรรมดา ๆ มาเตือนสติตนเอง ยามที่ใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีมีความสุข ไม่ทุกข์กายใจอะไร
ช่วงนี้ เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่เริ่มกลับมามีความสุขสงบอีกครั้ง ผ่อนคลายกายใจมากขึ้น ไม่มีภาระหนักอึ้งให้ต้องใช้เวลามากมายสะสาง เมื่อเริ่มคืนสู่สภาวะปกติสุขอีกครั้ง สิ่งแรกที่ผู้เขียนมักจะปฏิบัติการอยู่ภายในตนเองก็คือการทบทวนการดำรงชีวิตที่เป็นปกตินี้ ให้โปร่ง โล่งเบาสบาย
นั่นคือสิ่งที่กำลังปฏิบัติอยู่
กินน้อย... แบบไหนที่เรียกว่าน้อย...แบบที่ทานเข้าไปแล้ว ยังรู้สึกว่าท้องมีพื้นที่เหลืออีกเยอะ ตัวเบามาก (น้ำหนักอาจจะยังไม่ลดให้เห็นอย่างมีนัยสำคัญ) สิ่งที่ต้องทำถัดไปคือการออกกำลังกาย... ตอนนี้มีเครื่องออกกำลังกายสองแบบให้เลือก แบบปั่นจักรยานและแบบ elliptical walking หลังเลิกงานมาถ้ายังไม่ดึกมากก็จะขอให้มีเหงื่อสักหน่อย
ใช้น้อย .... แบบที่เรียกว่าใช้น้อย ไม่ค่อยมีปัญหาสำหรับผู้เขียน เพราะใช้สิ่งของเท่าที่จำเป็น ถ้ามีเหลือ มีเกินก็นำไปให้กับผู้ที่จำเป็นต้องใช้มากกว่า เช่น ผู้เขียนไปมอบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค มือถือ ให้พี่แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ฯ เพื่อประโยชน์ในการทำงานเครือข่าย ตอนนี้ มองของในบ้าน ไม่มีอะไรขาดเลย มีแต่ของที่จะเอาไปบริจาค
จริง ๆ แล้ว เรื่องนอนน้อย ก็น่าจะลองนำมาปฏิบัติดู การนอนน้อย ก็เป็นการฝึกฝนตนไม่ให้ขี้เกียจ ใช้เวลาในแต่ละวันให้รู้จักคุณค่า การเอาชนะใจตนเองให้นอนน้อยลง ทำได้ด้วยการฝึกสมาธิ นอนสมาธิ แม้เพียงใช้เวลาไม่มากก็นอนอิ่มได้ จิตไม่ฟุ้งซ่านในขณะนอนหลับ ก็นับว่าดีพอแล้ว
ส่วนทำงานมาก... เป็นเรื่องที่ผู้เขียนมักจะสอนน้อง ๆ ที่ต้องดูแลรับผิดชอบเสมอว่าอย่าไปเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นที่อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน เห็นเขาไม่ค่อยทำงาน ก็ไม่มีกำลังใจที่จะทำให้มากกว่าคนอื่นเขา สังคมทุกวันนี้ อะไรไม่ดี ก็ง่ายที่จะเลียนแบบ เอาอย่างกัน กลัวตนเองเสียเปรียบ เสียประโยชน์
สำหรับผู้เขียนแล้ว ทำงานมากกว่าคือกำไรชีวิต เป็นการขัดเกลาตนเองให้มองเห็นกิเลสชัดเจนขึ้น ถามว่าเราไม่พอใจไหมที่คนอื่นทำงานน้อยกว่า ใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่พอดูใจไปไม่นานนัก ก็รู้สึกสบายใจดี ทำมากก็ไม่ต้องว่างฟุ้งซ่านเรื่องอื่น ใจจดจ่อมีสมาธิ มีพลังมากขึ้น ได้มีโอกาสเรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลากหลายขึ้น ที่สำคัญคือเป็นนักแก้ปัญหางานที่มีความยากซับซ้อน จนไม่มีอะไรที่เรารู้สึกว่ายากเกินกว่าที่จะจัดการมันได้แต่อย่างใด
สุดท้ายนี้ การเข้าใจชีวิตยิ่งขึ้น อาจไม่ได้อยู่ที่อายุเรามากขึ้น แต่อยู่ที่การเข้าถึงความจริงของชีวิตว่าใครเข้าใจได้เร็วกว่าและนำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สุขแก่ตนได้มากกว่า
กินน้อย ใช้น้อย ทำงานมาก มีความสุข
เหลือเจือจานเพื่อนมนุษย์ มีจิตบริสุทธิ์ ยิ้มตายได้
การน้อมนำธรรมโอวาทนี้มาปฏฺิบัติ เพื่อให้เราละสุขทางกาย ให้จิตใจเจริญงอกงามยิ่งขึ้น
ขอบคุณมากค่ะ คุณเพชรน้ำหนึ่ง
น้องสดใสน่ารักมากนะคะ ยิ้มเบิกบานดีจัง แค่มองรอยยิ้มอย่างเดียว หัวใจเราก็ยิ้มไปด้วยแล้ว
สาธุๆๆ..เจ้าค่ะ..สว่างสดใส..ใจบริสุทธิ์..เพิ่มพลัง..ภายใน นะเจ้าคะ ..ยายธี ค่ะ...
ฝึกอยู่ดี กินน้อย ใช้น้อย ทำงานมาก
จะได้เตรียมตายดี .... ยิ้มได้ ขอบคุณมากค่ะ อ.ศิลา
ขอติดตามอ่านเช่นกันค่ะ ได้ข้อคิดมากมายค่ะ ขอบคุณมากค่ะพี่ศิลา