แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model: HBM)
ในปี ค.ศ. 1950 นักจิตวิทยาสังคมในประเทศสหรัฐอเมริกากลุ่มหนึ่งได้พัฒนาแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพขึ้นมาใช้เพื่ออธิบายความล้มเหลวของโครงการตรวจคัดกรองโรควัณโรคที่เกิดจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่ให้ความร่วมมือกับโครงการที่ถึงแม้ว่าจะเป็นการบริการที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ก็ตาม โดยเชื่อว่าบุคคลจะมีความพร้อมในการแสดงพฤติกรรมเมื่อมีการรับรู้ถึงความเสี่ยงและความรุนแรงของโรค และบุคคลจะมีโอกาสแสดงพฤติกรรมได้มากขึ้น หากประเมินแล้วพบว่ามีประโยชน์หรือผลดีมากกว่าผลเสียหรืออุปสรรคด้านค่าใช้จ่าย (Skinner, Tiro, and Champion, 2015)
ต่อมา Becker และ Maiman (1975) ได้ปรับปรุงแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพโดยเพิ่มปัจจัยร่วม และปัจจัยกระตุ้นการปฏิบัติเข้าไปเพราะถึงแม้ว่าจะเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของบุคคลแต่ก็มีอิทธิพลต่อการป้องกันโรคซึ่งจะช่วยให้แบบจำลองนี้สามารถใช้อธิบายและทำนายพฤติกรรมการป้องกันและรักษาโรคของบุคคลได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น (ภาพที่ 1)
องค์ประกอบของทฤษฎี
องค์ประกอบของทฤษฎีของแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในแวดวงวิชาการในปัจจุบัน ประกอบด้วย 6 ตัวแปรซึ่งแต่ละตัวแปรมีนิยามดังนี้
การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค (Perceived susceptibility) หมายถึง ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก และการคาดคะเนของบุคคลเกี่ยวกับโอกาสเสี่ยงที่จะป่วยด้วยโรคใดๆ ของตนเองว่ามีมากน้อยเพียงใด
การรับรู้ความรุนแรงของโรค (Perceived severity) หมายถึง ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก และการคาดคะเนของบุคคลที่เกิดจากการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการป่วยด้วยโรคใดๆ ทั้งที่มีต่อด้านสุขภาพ ได้แก่ ชีวิต ความพิการ ความสมบูรณ์แข็งแรง การเกิดโรคแทรกซ้อน ความเจ็บปวดทรมานรวมถึงผลกระทบที่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การสูญเสียหน้าที่การงาน ทรัพย์สินเงินทอง และสถานะทางสังคม เป็นต้น
ผลรวมของการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค และการรับรู้ความรุนแรงของโรคจะทำให้เกิด การรับรู้ภาวะคุกคาม (Perceived threat) ซึ่งหากบุคคลรับรู้ภาวะคุกคามมากก็จะมีผลทำให้บุคคลนั้นๆ เกิดความโน้มเอียงที่จะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงหรือเป็นตัวผลักดันให้บุคคลมีการป้องกันและรักษาโรคนั้นๆ มากตามไปด้วย
การรับรู้ประโยชน์ (Perceived benefit) หมายถึง ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก และการคาดคะเนของบุคคลเกี่ยวกับประโยชน์หรือผลดีที่ตนเองจะได้รับจากการปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันหรือรักษาโรค เช่น ลดความรุนแรงของโรค ลดผลกระทบทางสุขภาพ ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ความพอใจหรือความรู้สึกด้านคุณค่าในตนเอง เป็นต้น
การรับรู้อุปสรรค (Perceived barriers) หมายถึง ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก และการคาดคะเนของบุคคลเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบที่อาจจะเกิดตามมาหลังจากปฏิบัติตามคำแนะนำหรือจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น การเสียค่าใช้จ่าย การทำให้เกิดความอับอายหรือความยากลำบากใจ หรือเป็นการกระทำที่ยุ่งยากหรือทำได้ยาก เป็นต้น
ปัจจัยกระตุ้นการปฏิบัติ (Cues to action) หมายถึง เหตุการณ์หรือกิจกรรมที่กระตุ้นหรือเป็นแรงจูงใจให้บุคคลเกิดความพร้อมในการแสดงพฤติกรรมการป้องกันและรักษาโรค ซึ่งประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ 1) ปัจจัยกระตุ้นการปฏิบัติจากภายในบุคคล (Internal cues) ได้แก่ ความรู้สึกถึงอาการผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเองซึ่งไปเพิ่มระดับการรับรู้ภาวะคุกคามให้เพิ่มขึ้น และ2) ปัจจัยกระตุ้นการปฏิบัติจากภายนอกบุคคล (External cues) ได้แก่ การสื่อสารผ่านสื่อสารมวลชน และคำแนะนำจากบุคคลใกล้ชิด อาการเจ็บป่วยของสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อน
ปัจจัยร่วม (Modifying factors) หมายถึง ปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ที่ส่งผลโดยอ้อมต่อพฤติกรรมการป้องกันและรักษาโรคของบุคคล ได้แก่ อายุ เพศ เชื้อชาติ บุคลิกภาพ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม และความรู้ที่เกี่ยวข้อง
การประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ
องค์ประกอบของแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 การประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ
ตัวแปร |
การนำไปประยุกต์ใช้จัดกิจกรรม |
การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค |
|
การรับรู้ความรุนแรงของโรค |
|
การรับรู้ประโยชน์ในการป้องกันและรักษาโรค |
|
การรับรู้อุปสรรคในการป้องกันและรักษาโรค |
|
ปัจจัยกระตุ้นการปฏิบัติ |
|
การรับรู้ความสามารถของตนเอง |
|
ข้อเท็จจริงเมื่อนำHBM ไปใช้
ข้อเท็จจริงที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่รวบรวมได้จากงานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับผลและประสิทธิผลของการนำแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพไปใช้ พบว่า
เมื่อนำ HBM ไปใช้ทำนายพฤติกรรมสุขภาพของบุคคล
ผลการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบของ Skinner Tiro และ Champion พบว่า การรับรู้อุปสรรคเป็นตัวแปรที่มีอำนาจพยากรณ์สูงสุดในการทำนายพฤติกรรมสุขภาพของบุคคล ทั้งพฤติกรรมการป้องกันโรคและการรักษาโรคและการรับรู้ประโยชน์เป็นตัวแปรที่มีอำนาจพยากรณ์สูงเป็นอันดับที่สอง โดยเฉพาะเมื่อนำไปศึกษากับพฤติกรรมสุขภาพด้านการป้องกันโรคและพฤติกรรมการลดปัจจัยเสี่ยงที่มีลักษณะเป็นพฤติกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่ายหรือใช้ระยะเวลาสั้นๆ เช่น การให้ความร่วมมือเข้าร่วมการตรวจคัดกรองโรค ฯ มากกว่าการนำไปใช้กับพฤติกรรมที่ใช้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนนานๆ หรือพฤติกรรมที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น การสูบบุหรี่ หรือพฤติกรรมการออกกำลังกาย ฯ
เมื่อนำ HBM ไปใช้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของบุคคล
ผลการศึกษาของNoar Benac และ Harris พบว่า โปรแกรมที่ประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่มีกิจกรรมเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของตนเองจะมีผลทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้ดีกว่าโปรแกรมที่ไม่มีกิจกรรมดังกล่าว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของตนเองนั้นมักมุ่งเน้นที่การเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตนเองพร้อมๆ กับการมีทัศนคติเชิงบวกและความรู้สึกที่ดีต่อการปรับเปลี่ยนไปสู่พฤติกรรมเป้าหมาย ซึ่งตรงกันข้ามกับการเสริมสร้างการรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคและการรับรู้ความรุนแรงของโรคที่กิจกรรมส่วนใหญ่มักเน้นไปที่การสร้างความรู้สึกกลัวหรือการรับรู้ถึงภาวะคุกคามเท่านั้น
ข้อจำกัดของแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ
เนื่องจากแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเป็นแบบจำลองด้านพฤติกรรมศาสตร์ที่ให้ความสำคัญเฉพาะกับมีฐานคิดเกี่ยวกับกระบวนการคิดและกระบวนการตัดสินใจของบุคคลเป็นหลัก ดังนั้น จึงมีพฤติกรรมสุขภาพอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถอธิบายหรือปรับเปลี่ยนได้ด้วยลำพังการใช้ทัศนคติและความเชื่อ เช่น พฤติกรรมที่มีภาวะเสพติดร่วมด้วยที่จำเป็นต้องมีระบบการบำบัดรักษาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ใช้เวลานาน เช่น พฤติกรรมการสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯ พฤติกรรมที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตุและผล เช่น พฤติกรรมการควบคุมอาหารเกินพอดี (โรคคลั่งผอม) และพฤติกรรมที่เป็นผลมาปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น การทำงานในสถานที่ที่อันตราย หรือการอาศัยในแหล่งเสื่อมโทรมและเป็นมลพิษ ฯ จึงอาจเป็นข้อจำกัดหนึ่งของการนำไปใช้อธิบายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของบุคคลได้อย่างรอบด้าน
สรุป
แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1950 โดยกลุ่มนักจิตวิทยาสังคมในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้รับอิทธิพลมาจากทฤษฎีการตอบสนองต่อสิ่งและทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมการป้องกันโรคและพฤติกรรมการรักษาโรคของบุคคลโดยมี 6 องค์ประกอบ คือ ปัจจัยส่วนบุคคล การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรค ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติ การรับรู้ประโยชน์ และการรับรู้อุปสรรคในการป้องกันและรักษาโรค และในระยะหลังมีการเสนอตัวแปรการรับรู้ความสามารถของตนเองเข้าไปเพื่อให้สามารถนำมาปรับใช้กับพฤติกรรมสุขภาพที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพก็มีข้อจำกัดในการนำไปใช้กับพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่สามารถอธิบายหรือปรับเปลี่ยนได้ด้วยทัศนคติและความเชื่อ เช่น พฤติกรรมการสูบบุหรี่ พฤติกรรมการอดอาหาร รวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากอิทธิพลทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในปัจจุบันจึงมีการนำแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพไปใช้ร่วมกับทฤษฎีหรือแบบจำลองด้านพฤติกรรมสุขภาพอื่นๆ มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
หมายเหตุ
เนื้อหาในบันทึกนี้ ผู้เขียนเรียบเรียงเพื่อจัดทำหนังสือเรื่องพฤติกรรมสุขภาพ: แนคิด ทฤษฎี และการประยุกต์ใช้ (อยู่ระหว่างดำเนินการจัดพิมพ์)
ไม่มีความเห็น