วันที่สองของการเดินทาง


วันที่สองของการเดินทาง

วันนี้คงเป็นเรื่องของเวลาที่แตกต่างกัน ๕ ชั่วโมงทำให้ผมตื่นตั้งแต่ตีสาม ซึ่งเป็นเวลาสี่ทุ่มที่เมืองไทย พอตื่นมาแล้วนอนไม่หลับ ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ จนราวตีสี่ จึงรู้สึกง่วงอีกครั้ง ตื่นมาอีกครั้งราวเจ็ดโมงเช้า มองไปนอกหน้าต่างห้องนอน ท้องฟ้ามีแสงสีทองจับที่ขอบฟ้าสีเทารางๆ นึกในใจนี่มันแสงไฟตามทางหรือแสงสีทองแรกของดวงอาทิตย์กันแน่ อย่ากระนั้นเลยออกไปดูให้แน่ใจดีกว่า รีบเปิดกล้องถ่ายรูปเซ็ตขาตั้งกล้องที่เตรียมมา คว้าโทรศัพท์ติดมือไปด้วย เราจะไปถ่ายภาพแสงแรกของนิวซีแลนด์ในวันแรกที่มาที่นี่ พอออกไปนอกห้อง ลินดาตื่นแล้วเธออยู่ในครัวในชุดกันหนาวเต็มที่พร้อมหมวกไหมพรม ผมบอกเธอว่าจะออกไปเดินเล่น พอออกไปถ่ายภาพได้ สองสามภาพ พระพิรุณก็โปรยเม็ดลงมา ผมรีบกลับเข้าบ้านแถบไม่ทัน อากาศหนาวมากสำหรับคนที่มาจากเมืองที่มีแต่ฤดูร้อน กับร้อนมากอย่างผม เสื้อก็ไม่ได้เตรียมมา ถอยกลับไปตั้งหลักก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็กลับเข้าบ้าน ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินไปรอบๆ หมู่บ้านเป็นการออกกำลังกายไปด้วย เป็นอันแผนนี้ต้องล้มไป ตอนเดินเข้าบ้าน เจ้าฮันนี่ มองผมและเห่า เหมือนจะเยาะเย้ยว่าไม่รู้จักอากาศนิวซีแลนด์หรือไง

พอกลับเข้าบ้าน แดดก็ออกจ้า ฝนหยุดตก ลินดาถามว่าจะทานอาหารเช้าเลยไหม ผมก็บอกว่าทานเลย ว่าแล้วผมก็เข้าไปหยิบอาหารเย็นที่เหลือเมื่อวานจะนำมาเข้าไมโครเวฟ ลินดาเข้ามาคุยและบอกว่าที่เมื่อวานที่เธออธิบายเสียยืดยาวเรื่อง การเตรียมอาหารเช้า แสดงว่าพ่อกะเหรี่ยงไทยคนนี้ไม่เข้าใจเลย ว่าแล้วอาหารเช้ามื้อนี้ ก็เป็นโอวัลตินกับ คอนเฟรกใส่นม ซึ่งลินดาบอกว่าให้ใส่นมน้อยๆ เพราะนี่คือคอนเฟรก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจที่เมืองไทยเราใส่นมจนล้น และกินเป็นของหวานสำหรับลูกผม ที่บ้านเราทานอาหารมื้อเช้ากันหนัก พอตอนทานอาหารเช้า แดดก็ออกจัด ลินดาบอกชอบมากที่มีแดด และถามผมว่ารู้สึกอย่างไรที่มีแสงแดดแบบนี้ ผมบอกว่าที่บ้านผมมีทั้งวัน เราไม่ค่อยดีใจที่มีแดด เพราะแดดบ้านฉันมีเพียบ แต่ฉันชอบอากาศเย็น อากาศเหมือนรู้ใจคนถ่ายภาพ พอทานข้าวเสร็จ ผมก็คว้ากล้อง กะว่าจะออกไปเดินสำรวจอีกรอบ ผมเลือกเดินเลี้ยวซ้ายผ่านหมู่บ้าน ไปตามถนน คิดในใจว่าจะเดินเป็นวงกลม วนซ้าย แต่เดินอย่างไรก็หาทางไปด้านซ้ายไม่ได้ซักที จนเดินไปเจอรูโหว่มีรอยเจาะไว้เข้าไปในสนามรักบี้ มอไปด้านตรงข้ามมีถนน ได้การละมุดเลยดีกว่า พอเดินไปสักพัก เสียงลมมาหวู๋ หวู๋ มองไป อ้าวฟ้ามืดอีกแล้ว พระพิรุณกลั่นแกล้งตากล้องอีกแล้ว คราวนี้ทั้งลมทั้งฝน ผมรีบวิ่งเข้าไปหลบใต้สโมสร มีพนักงานมองตามไปว่าอีตานี่เป็นใคร ผมมองหามุมที่มีที่บังลมแต่หาไม่ได้เลย ฝนตกอย่างนี้ หนาวจับใจ นึกในใจ เพิ่งเข้าใจสัญลักษณ์รูปวินดี้ เดี๋ยวนี้เอง ว่ามันหมายถึงจะมีลมแรง พอฝนเริ่มซาเม็ดผมรีบจ้ำอ้าวออกจากที่หลบรีบเดินหาถนน กลับบ้าน โอ้ เข้าใจเลย ว่าอย่าประมาทฟ้า ฝน นิวซีแลนด์ ไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ วันนี้ฝนตกทั้งวันจริงๆ เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวฟ้ามืด ฝนตกทั้งวัน แต่ทำอย่างไรก็สกัดกั้นคนอยู่ไม่สุขอย่างผมไม่ได้หลอก ว่าแล้วสักบ่ายสามผมก็เตรียมทั้งเสื้อ หมวก ร่ม เตรียมพร้อมเต็ตที่ พระอาทิตย์ก็ออกมาสาดแสงส่อง หลอกล่อให้ดีใจ ผมตัดสินใจบอกลินดาว่าจะเดินไปที่อ่าว ว่าแล้วก็เตรียมอุปกรณ์ เดินตามคำบอกไปที่อ่าวที่ห่างออกไปพอมองเห็นว่าไม่ไกลนักในจีพีเอส แต่ด้วยลืมว่าเรากำลังอยู่ในโหมดขับรถไปไม่ได้เดินไป พอเดินไปเกือบถึงอ่าว ฝนก็เทลงมาทำให้ผมต้องหาที่หลบในซุปเปร์มาเก็ต เดินดูชื่อผักชนิดต่างๆ ว่าเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร เป็นประสบการณ์ตรงที่ต้องมาเรียนในเมืองเจ้าของภาษาจึงจะเข้าใจ พอฝนซาเม็ด ผมก็เดินต่อไปถึงอ่าว ชายทะเลที่นี่เป็นหาด ผสมกับหน้าผาสูงชัน

หมายเลขบันทึก: 611052เขียนเมื่อ 22 กรกฎาคม 2016 18:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม 2016 18:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท