อาจารย์จิรพร สุเมธีประสิทธิ์
[email protected]
การตัดสินใจทางการเงินนับวันจะมีบทบาทในกิจการมากขึ้น เพราะการตัดสินใจด้านการเงินที่ดีจะช่วยเพิ่มหลักประกันได้ว่า กิจการจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการดำเนินงานและการบริหารผลดำเนินงานตามธุรกิจปกติของกิจการ
ประเด็นที่กิจการต้องพิจารณาในการวางแผน และวิเคราะห์ก่อนจะเกิดการตัดสินใจทางการเงินในปัจจุบันและในอนาคตจะพิจารณาบนฐานความเสี่ยง (Risk-Based) เพิ่มขึ้น แทนที่ฝ่ายบริหารงานทางการเงินจะเป็นผู้ตาม หรือปล่อยให้ทีมขายและทีมการตลาด (Front Office) ครอบงำเหมือนในอดีต เพราะวิธีการแบบเดิมๆ นั้น อาจจะทำให้กิจการไม่อาจจะบริหารความเสี่ยงที่มาจากกิจกรรมทางการเงินได้ และประสบความล้มเหลว ทั้งที่การจำหน่ายและการทำธุรกิจกับลูกค้าเป้าหมายไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด
ในการพิจารณาเพื่อการตัดสินใจทางด้านการเงินบนฐานความเสี่ยง สิ่งที่ควรระมัดระวังมีหลายประการ ได้แก่
ประการที่ 1 เป้าประสงค์หลักของการตัดสินใจทางด้านการเงิน
คือ การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่กิจการและรักษาผลตอบแทนแก่นักลงทุน โดยมูลค่าเพิ่มของกิจการ พิจารณาจาก ผลรวมของมูลค่าที่มาจากส่วนของหนี้สินและมูลค่าที่มาจากส่วนของผู้ถือหุ้นของกิจการ
ภายใต้ข้อจำกัดด้านอัตราส่วนของหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้นที่เป็นที่ยอมรับของตลาด เช่น 1:1 หรือ 2:1และมักจะไม่เกิน 4:1 สิ่งที่นักบริหารทางการเงินจะดำเนินการคือ ทำให้ขนาดของการประกอบการได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) ไม่เล็กเกินไปจนไม่คุ้มทุน และได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขอบเขตของการดำเนินงาน (Economies of Scope)
ประการที่ 2 การตัดสินใจทางด้านการเงินต้องระมัดระวัง
เนื่องจากแหล่งเงินที่มาจากการก่อหนี้สินและผู้ถือหุ้นล้วนแต่ให้ความสำคัญกับมูลค่าของกิจการ การตัดสินใจทางด้านการเงินจึงต้องระมัดระวัง และวิเคราะห์บนฐานความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดความเสี่ยงจนทำให้มูลค่าของกิจการลดลง
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเงินทุน(ระหว่างหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น)จะต้องวิเคราะห์ให้มั่นใจว่า มีส่วนสร้างมูลค่าเพิ่มแก่กิจการเท่านั้น และที่สำคัญมูลค่าเพิ่มดังกล่าวได้มาอย่างไร
ประการที่ 3 การตัดสินใจทางด้านการเงินในเชิงรุก
ยังครอบคลุมถึง การใช้สถานการณ์ที่มีความกดดันทางการเงิน (Financial Stress) ในการวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อใดที่เกิดความกดดันทางการเงิน จะเกิดต้นทุนแก่กิจการ หลากหลายลักษณะ
- ต้นทุนทางตรง ได้แก่ ต้นทุนในการบริหารมวลชนสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และอาจจะรวมถึงค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย
- ต้นทุนทางอ้อม เป็นการพลิกฟื้นธุรกิจ แก้ไขการลดลงของยอดขายและชื่อเสียงของแบรนด์และขององค์กร
แนวทางในการบริหารจัดการทางการเงินภายใต้ สถานการณ์ที่มีความกดดันทางการเงิน ประกอบด้วย
- การทำความตกลงชี้แจงถึงการปกป้องและคุ้มครองเจ้าหนี้กิจการ
- Negative Covenant เป็นการตกลงคุ้มครองและรับผิดชอบบางส่วนด้วยการ
- Positive Covenant เป็นการตกลงในเชิงแก้ไข
- ตกลงจ่ายเงินปันผลระดับหนึ่งที่เหมาะสมหรือตามความจำเป็นไม่จ่ายเงินปันผลมากแก่ผู้ถือหุ้น ขณะที่ปล่อยให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย
- ตกลงว่าจะไม่มีการขายตราสารหนี้ที่มีบุริมสิทธิ์เหนือกว่าเจ้าหนี้เดิม และจะจำกัดการสร้างหรือก่อหนี้ใหม่เพิ่มเติมไม่เกินจำนวนที่กำหนดไว้ตามข้อตกลงร่วมกัน
- ตกลงจะนำเงินที่ได้จากการขายตราสารหนี้ใหม่หรือก่อหนี้ใหม่ไปจ่ายคืนผู้ถือตราสารหนี้ปัจจุบัน โดยตราสารหนี้ใหม่จะต้องมีต้นทุนดอกเบี้ยลดลง
- ตกลงจะไม่เข้าไปซื้อตราสารหนี้ของกิจการอื่น
- ทำการจำหน่ายทรัพย์ของกิจการที่ปราศจากภาระผูกพันเพื่อที่จะนำเอาเงินไปคืนหนี้ปัจจุบัน
- ทำการตัดขายธุรกิจบางส่วนหรือสำนักงานบางส่วนของกิจการออกไป เพื่อให้ได้เงินมาชำระคืนหนี้สิน
- ทำการธำรงรักษาสถานะและเงื่อนไขของสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน มิให้เสื่อมค่าหรือเสื่อมสภาพจากการปล่อยปละละเลย
- ทำการว่าจ้างผู้สอบบัญชีให้มีการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินตามความจำเป็น
จะเห็นว่า การบริหารทางการเงินที่พิจารณาในสถานการณ์ที่มีความกดดันทางการเงินมีปัจจัยความเสี่ยงที่ใช้ในการพิจารณาประกอบด้วย
- รูปแบบของสินทรัพย์ที่กิจการมีอยู่ หากกิจการมีอสังหาริมทรัพย์ที่ปราศจากภาระผูกพันอยู่บ้าง ก็จะสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นเงินสดได้ง่าย และหากมีสินทรัพย์ประเภทอื่นที่มีราคาตลาด ก็จะมีสภาพคล่องในการนำออกจำหน่าย เพื่อที่จะเปลี่ยนสภาพเป็นเงินสดได้ง่าย
- ความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาจากการดำเนินงาน ซึ่งแม้ว่ากิจการจะไม่เผชิญหน้ากับแรงกดดันทางการเงิน จากหนี้สินก็จะมีปัญหาในการดำเนินงานอยู่แล้ว
- ความสามารถในการบริหารจัดการเงินทุนภายในกิจการ หากการหารือกับเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้น หรือกิจการในเครือที่เกี่ยวข้องกันเป็นไปได้ยาก กิจการอาจจะไม่ค่อยมีทางเลือกอื่นนอกจากการก่อหนี้จากแหล่งเงินภายนอกเป็นหลัก
ประการที่ 4 การพิจารณาที่นอกเหนือจากตัวเงิน
การตัดสินใจทางการเงินควรจะพิจารณาในประเด็นต่อไปนี้ด้วย
- ทำการวิเคราะห์และวัดผลดำเนินงานของกิจการในภาพรวม
- ทำการควบคุมภายในอย่างไร เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของกิจการราบรื่น
- หลีกเลี่ยงความล่าช้าของโครงการ ปัญหาค่าใช้จ่ายโครงการบานปลาย และไม่สามารถถึงมาตรฐานคุณภาพได้อย่างเพียงพอ
- ทำการปรับเปลี่ยนและทบทวน นโยบายการเงิน ที่จะทำให้ผลดำเนินงานออกมาได้น่าพอใจ
- หลีกเลี่ยงความสูญเสีย ความผิดพลาด และไม่เหมาะสมในการใช้เงินทุน
- ทำการนำข้อมูลเปิดเผยให้เป็นไปอย่างโปร่งใส และมอบหมายความรับผิดชอบให้ชัดเจน
- ทำการปรับสถานะจนเกิดดุลยภาพระหว่าง ความจำเป็นและต้นทุนของการดำเนินการด้วย เพราะทีมกองหน้า (Front Office) มักจะมองไม่เห็นภาระต้นทุนของกิจการ
- การใช้แหล่งเงินกู้ มีความเชื่อมโยงถึงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด การกำกับ สอดส่องในภาพรวมให้ครอบคลุม และทำการทบทวนตามความจำเป็น
ประการที่ 5 สรุปภาพของการบริหารความเสี่ยงในด้านการเงิน
มีขั้นตอนประกอบด้วย
- การวางแผนกระบวนการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน
- การค้นหา และระบุความเสี่ยง
- การวิเคราะห์ ความเสี่ยงเชิงคุณภาพ และเรียงลำดับความเสี่ยง
- การวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงปริมาณ
- การทำแผนการตอบโต้ความเสี่ยง และเตรียมพร้อมรองรับความเสี่ยง
- การติดตามและควบคุมความเสี่ยง