เลี้ยงลูกถูกทาง


วันนีัลูกชายทั้งสามหนุ่มในวัย 25, 24 และ 19 ปี มีท างเดินชีวิตของตัวเองกันแล้ว พี่วั้นเป็นวิศวกรทำงานเกี่ยวกับการสื่อสารช่วยการบิน ได้เดินทางไปตามสนามบินต่างๆทั่วประเทศ ได้ทำงานหลากหลายไม่จำเจ สมกับบุคลิกของเขาที่ไม่ชอบการทำงานนั่งโต๊ะเฉยๆ ฟังจากที่ลูกเล่าก็เชื่อได้ว่าเขาเป็นบุคลากรอเนกประสงค์ของที่ทำงาน ไม่เลือกงาน สนุกที่จะเรียนรู้และช่วยทำงานทุกอย่างที่ทำได้ พี่เหน่นจบนิติฯแต่ยังคงมีฝันให้ตาม แต่ก็ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ไปด้วย น้องฟุงก็เริ่มเข้าสู่ชีวิตนักศึกษาที่มีหนทางยาวไกล และเขาเลือกเองที่จะไปทางนี้ หนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีวินัยสุดๆจนแม่เชื่อได้ว่า ไม่ว่าเขาจะเลือกทำอะไร เขาก็จะทำได้เต็มที่เสมอ และเขารู้ตัวเองดีว่าทำอะไรได้แค่ไหน น่าจะไม่กดดันตัวเองในทางที่เขาเลือก

แม้ใครๆจะบอกว่าเราเลี้ยงลูกดี ทำให้ลูกเป็นคนดี คนเก่งที่น่าภูมิใจ แต่เราเองรู้ว่าเพราะลูกมีธรรมชาติที่ดี และเราพยายามไม่ทำลายธรรมชาตินั้น แต่ประคับประคอง ปรับปรุงด้วยความใส่ใจในตัวตนของลูก ไม่ได้คิดจะขีดเส้นอะไรให้เขาเดิน ให้เขาได้คิดได้เลือกเองมาตลอด วิธีการต่างๆที่เราใช้ในการเลี้ยงลูกเมื่อเล็กๆก็มาจากตำราบ้างโดยเราเอามาปรับใช้ให้เข้ากับธรรมชาติของลูก จำได้ว่าส่วนมากก็จะออกแนวจิตวิทยาในการสร้างนิสัยที่ดีทั้งหลาย ซึ่งในที่สุดแล้ว เราเองก็ได้ปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นไปด้วย

มาวันนี้ได้รับรู้แล้วว่า ผลงานของเราได้รับการยืนยันจากตัวลูกเอง เป็นความชื่นใจที่เกินบรรยาย ขอเอาสิ่งที่ลูกเขียนและส่งต่อมาให้อ่านจาก Meddy Bear ใน Facebook ที่คิดว่าเป็นข้อคิดที่ดี คนเป็นผู้ใหญ่คนสำคัญของเด็กๆจะได้คิดก่อนที่จะทำอะไรกับเด็กๆ ขอแปลความเป็นภาษาไทยให้ด้วยเลยนะคะ

พี่เหน่นบอกว่า ตามที่เขาคิด คือพ่อกับแม่ที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีมาก...ขอขอบคุณ

ถ้าเด็กโกหก หมายความว่าท่านทำให้การทำผิดเป็นเรื่องใหญ่เกินจริงในอดีต (ทำให้เด็กไม่กล้าบอกตามจริงบ่อยๆได้ ประโยคนี้น่าจะตกคำว่า the ด้วย น่าจะเป็น the past มากกว่า)
ถ้าเด็กไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะท่านแนะนำสั่งสอนมากกว่าการกระตุ้น ให้กำลังใจ (ทำให้ติดการช่วยเหลือ ช่วยคิด ไม่กล้าคิดเอง)
ถ้าเด็กไม่กล้าต่อสู้เพื่อตัวเอง เป็นเพราะในตอนเด็กๆโดนท่านตักเตือนสั่งสอนเป็นประจำในที่สาธารณะ พ่อแม่ไม่ควรทำแม้แต่ต่อหน้าพี่น้องหรือญาติ
ถ้าท่านซื้อของให้ลูกทุกอย่าง แต่ลูกยังไปเอาของคนอื่น เพราะท่านไม่ได้ให้ลูกเลือกเอง
ถ้าลูกของท่านเป็นคนขลาด เป็นเพราะท่านช่วยเขาเร็วเกินไป อย่าขจัดอุปสรรคทุกอย่างในทางชีวิตของลูก (เขาจะได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง)
ถ้าลูกของท่านขี้อิจฉา อาจเป็นเพราะท่านเปรียบเทียบลูกกับคนอื่นอยู่เสมอ
ถ้าลูกของท่านโกรธง่าย อาจเป็นเพราะท่านไม่ได้ชื่นชมลูกอย่างเพียงพอ ลูกได้รับความสนใจก็ต่อเมื่อทำสิ่งไม่ดีเท่านั้น
ถ้าลูกของท่านไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น อาจเป็นเพราะท่านมักจะสั่งลูก โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของลูก
ถ้าลูกของท่านเก็บความรู้สึก ไม่ยอมสื่อสารด้วย เพราะท่านทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่โตไปหมด
ถ้าลูกของท่านแสดงกิริยาหยาบคาย เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากพ่อแม่หรือผู้ที่เขาอยู่ด้วย

สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้พ่อแม่ตระหนักรู้ว่า เราคือคนสำคัญที่สุดของลูก ความเข้าใจและการให้เกียรติลูกแบบมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่คนในปกครองหรือใต้อำนาจของเราเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งใดที่เราไม่อยากให้เขาทำ เราเองก็ต้องละเว้นได้ สิ่งที่เราอยากให้เขาทำ เขาเป็น เราต้องพยายามทำเองให้ได้เสียก่อน แล้วให้เขาเลือกเอาเองว่าเขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เขาสมควรทำตามหรือไม่ เพราะความคิดของเรากับของเขาก็ไม่เหมือนกัน ชีวิตของทุกคนเป็นของตนเอง แม้เราจะเป็นพ่อแม่ แต่เราไม่ใช่เจ้าชีวิตของใคร

เอามาเขียนบันทึกเพื่อเป็นข้อคิดให้ทุกท่านที่ยังมีลูกหรือเด็กอื่นอยู่ใกล้ๆ เพื่อช่วยกันสร้างพลังของสังคมของเรากันต่อไปค่ะ


หมายเลขบันทึก: 605284เขียนเมื่อ 23 เมษายน 2016 00:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 เมษายน 2016 14:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท