สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในวันนี้ผมจะขอกล่าวถึงวิธีการปรับพฤติกรรมเพื่อเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวในผู้สูงอายุ ในผู้สูงอายุที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนเตียง หรือบนรถเข็นล้อ(wheel chair)
ก่อนอื่นผมขออธิบายถึงสาเหตุที่จะขอนำเสนอวิธีการปรับพฤติกรรมเพื่อเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวในผู้สูงอายุในวันนี้ เนื่องจากในปัจจุบันนี้ มีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากที่ใช้ชีวิตประจำวันอยู่บนเตียงโดยไม่เคลื่อนที่ออกจากเตียง โดยอาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ เช่น อาการบาดเจ็บบริเวณไขสั้นหลัง โรคเส้นเลือดในสมองแตก เป็นต้น หรืออาจมีสาเหตุจากภาวะทางด้านจิตใจที่ทำให้ผู้สูงอายุเกิดการกลัวที่จะล้ม รวมไปถึงผู้สูงอายุที่มีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ
ในวันนี้ผมจะขอกล่าวถึงการปรับพฤติกรรมเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการเคลื่อนไหวในผู้สูงอายุ ซึ่งวิธีการที่ผมจะนำมาเสนอในวันนี้ มาจากงานวิจัยเรื่อง " A behavioural intervention increses physical activity in people with subacute spinal cord injury : a randomised trial "
ในงานวิจัยนี้ได้นำผู้สูงอายุที่มีอาการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้การปรับพฤติกรรม(behavioural intervention) ร่วมกับการรักษาแบบปกติ จำนวน 23 คน และกลุ่มที่สองได้การรักษาแบบปกติเพียงอย่างเดียว จำนวน 22 คน โดยทั้ง2กลุ่มนั้นจะได้รับการฝึกสอนในการใช้มือ(hand cycle training) และได้รับความรู้เกี่ยวกับกิจกรรมการเคลื่อนไหว
การรักษาทางด้านกิจกรรมบำบัด นั้นจะเกี่ยวกับการปรับพฤติกรรม โดยเน้นการเพิ่มพฤติกรรมการเคลื่อนไหวในแต่ล่ะวัน และลดพฤติกรรมการนั่งๆนอนๆอยู่บนเตียงหรือบนรถเข็นล้อเพียงที่เดียว โดยก่อนการเริ่มการปรับพฤติกรรมนั้น นักกิจกรรมบำบัดจะมีบทบาทในการหาและสร้างแรงจูงใจ ที่ได้จากการทำแบบประเมินด้านแรงจูงใจ(motivation interviewer) ซึ่งจะนำข้อมูลที่ได้นั้นมาปรับพฤติกรรม ซึ่งผมจะขอกล่าวถึงวิธีการในการสร้างแรงจูงใจในผู้สูงอายุก่อนนะครับ
แรงจูงใจ(motivation) เกิดมาจากแรงขับดันภายในตนเอง(inner drive) ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกต้องการที่จะทำอะไรบางอย่าง อย่างมีจุดมุ่งหมาย และแรงขับภายในตนเองนี้นี้จะนำไปสู่การเกิดแรงจูงใจต่างๆตามมา ดังต่อไปนี้
แรงจูงใจเหล่านี้เองจะนำมาซึ่งการปรับพฤติกรรม(behavioural modification) โดยวิธีการปรับพฤติกรรมนั้น จะใช้หลักการ " Trantheoretical model " หลักการนี้ จะเน้นถึงการคงอยู่ของพฤติกรรมที่เราต้องการให้เกิด และลดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการให้เกิด โดยจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ 4 อย่าง ได้แก่
การวัดผล
ผลลัพธ์
จากการวิจัยนี้จะเห็นได้นะครับว่า การปรับพฤติกรรมนั้น ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง ซึ่งทำให้เกิดพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ดังนั้นเราควรสร้างแรงจูงใจให้เกิดการปรับพฤติกรรมในผู้สูงอายุที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง และสามารถส่งเสริมการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตในผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีการกิจกรรมการเคลื่อนไหวน้อย ให้มีกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น
หากท่านผู้อ่านท่านใดต้องการที่จะรับข้อมูลว่ากิจกรรมการส่งเสริมการเคลื่อนไหวอย่างไร ที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมให้มีสุขภาพที่แข็งแรง
สุดท้ายนี้ผมมีความหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าข้อมูลนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน และบุคคลรอบข้าง ที่อาจจะประสบกับปัญหาด้านการเคลื่อนไหวที่น้อยกว่าปกติ ไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใดนั้น ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
แหล่งอ้างอิง
ผมคิดว่า การสร้างแรงจูงใจเป็นสิ่งที่สำคัญกับคนเราเป็นอย่างมากเลยนะครับ ขอบคุณนะครับที่มีบทความดีแบบนี้ เผื่อวันหนึ่งญาติพี่น้องของเราเกิดไม่สบายอะไรขึ้นมา อาจจำต้องดึงวิธีการนี้มาใช้ก็เป็นได้นะครั