ในการประชุมวิจัยเรื่องการเรียนรู้ในโรงเรียน นักวิจัยมารายงานต่อคณะกรรมการกำกับทิศทางว่า ครูมีความกังวลเรื่องผลการประเมินการเรียนรู้ของศิษย์ เกรงว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่หน่วยเหนือกำหนด และนักวิจัยมีข้อสังเกตว่า เมื่อเอ่ยคำว่าประเมิน ครูเข้าใจว่ามีเป้าหมายเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ (summative) ไม่มีความเข้าใจเรื่องประเมินเพื่อพัฒนา (formative) ซึ่งผมคิดว่า รายงานนี้สะท้อนว่า กระทรวงศึกษาธิการต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการศึกษาของชาติในภาคปฏิบัติ ให้ครูมีกระบวนทัศน์ เกี่ยวกับการประเมิน ให้เน้นการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของศิษย์ และพัฒนาวิธีการจัดการเรียนรู้ของตน โดยหวังผลสุดท้ายที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของศิษย์
การประเมินการเรียนรู้ในโรงเรียน ต้องเป็นการประเมินความเป็นจริงในห้องเรียน ไม่ใช่ประเมินเพื่อรายงานผลว่าเป็นไปตามที่หน่วยเหนือคาดหวัง ซึ่งจะทำให้รายงานนั้นเสี่ยงต่อการเป็น “รายงานความไม่จริง”
มีคนเล่าให้ผมฟังมากมาย เรื่องการจัดการการทดสอบ PISA 2015 ของไทย ว่ามีการจัดติวเด็กก่อนสอบ โดยเอาเด็กที่สุ่มเลือกไว้แล้วว่าจะเป็นตัวอย่างของประเทศไทย เอามาติวก่อนสอบ ไม่ทราบว่าเสียงเล่านั้นเป็นจริงหรือไม่ หากเป็นจริง ผลการทดสอบ PISA 2015 ของไทย ก็จะไม่เป็นความจริงแท้ ไม่ใช่ผลของสมรรถนะของนักเรียนจากการเรียนตามปกติ แต่เป็นสมรรถนะที่เสริมด้วยการติว
ผลการทดสอบ PISA 2015 ของไทย ก็จะไม่สะท้อนภาพความจริงของเด็กที่เหลือ ทำให้เราประเมินตนเองเกินจริง การนำผลการทดสอบ PISA 2015 ของเรามาพัฒนาปรับปรุงระบบการศึกษาไทยก็จะบิดเบี้ยว เพราะเราไม่กล้าเผชิญความจริง
วิจารณ์ พานิช
๑๑ ม.ค. ๕๘
It is about "face". People in many cultures do it. Not just Thailand.
Western marriage can cost a fortune only to divorce a short time later. Thais spend a fortune on ordaining a 20 years old boy, only to see him out and doing the same as he's been doin before 3 months later. Chinese dine like emperors on special ocasions, the scratch and scrimp long after that.
Face!
จริงและตรงคือทางที่เลี่ยงไม่ได้ถ้าคิดจะปฏิรูปการศึกษาไทย