เมื่อท้องทุ่งถูกไฟทุ่งลามเลีย
จะโดยภัยธรรมชาติ หรือก่อเกิดจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ก็เถอะ
การอุบัติซึ่งบางสิ่งบางอย่าง ล้วนมีนัยสำคัญของมันเอง (เสมอ)
ขึ้นอยู่กับว่าเราและเราจะถอดรหัสสิ่งนั้นได้แค่ไหน
ชีวิตแห่งเราก็มีครรลองไม่ต่างกัน
การแตกดับ มักซ่อนซุกนิยามการอุบัติใหม่แห่งการก่อเกิด (เสมอ)
เฉกเช่นการพบเจอ ก็แอบซ่อนนำตาแห่งการจากพรากอยู่ในที
ใช่-ทุกสิ่งอย่างล้วนมีฤดูกาลของมันเอง
กระนั้นก็อดที่จะบ่นเพ้อไม่ได้ว่า -
"เราและเรา ล้วนถูกผลักจากมือที่มองไม่เห็น" (เสมอ)
ภาพสวยแต่....เศร้า...เหงา...นะจ๊ะ
คิดฮอดบ้านเฮาหลายเด้
กลับมาอ่านบันทึกทีไร
ภาษาก็ยังงดงามเสมอนะค่ะ
ครับ พี่ มะเดื่อ
อารมณ์เหงาๆ เศร้าๆ หม่นๆ เทาๆ..
เป็นอารมณ์และชีวิต ผมโดยแท้เลยครับ 555
ครับ คุณ อักขณิช
บ้าน เป็นนิยามทั้งหมดของการใช้ชีวิตครับ
ยิ่งเดินทางไกล ก็ยิ่งเหมือนถวิลหาความเป็นบ้านอย่างไม่รู้จบ
ขณะหนึ่งการห่างบ้าน ก็เป็นเสมือนการท่องโลกเพื่อการเติบโต
แต่ที่สุดแล้ว ชีวิต ยังไงก็หวนคืนสู่บ้าน...
ส่วนบ้านของแต่ละคน จะนิยาม และมีรูปลักษณ์เช่นใด เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ขอบพระคุณครับ
ครับ คุณ เพชรน้ำหนึ่ง
ภาพนี้บันทึกในระหว่างเดินทางออกจากค่ายในชุมชนแห่งหนึ่ง บรรยากาศอาบอวลไปด้วยควันที่เกิดจากการเผาตอซังข้าวในทุ่ง...
เวลาห้วงนั้นในราวๆ บ่ายสามเศษๆ ครับ
เหมือนทุ่งนาและเถียงนาถุกห่มคลุมด้วยม่านสีเทาก็ไม่ปาน
พอดีผมตกแต่งภาพไม่เป็น เลยลากเส้นเติมสีให้ออกไปอีกแซวซะงั้นเลย...555
ขอบพระคุณนะครับ คุณ for far
จะว่าไปแล้ว
ก็ไม่รู้จะสื่อสารอะไรดีเกี่ยวกับภาพนี้
แค่มองสองมุมว่า
การถูกผลาญเผา จริงอยู่อาจไม่ใช่มิติที่เหมาะนักกับการรักษาดิน
แต่มองอีกมุม อาจหมายถึงการเร่งกระบวนการ หรือสะพานเชื่อมไปสู่วัฎจักรใหม่
ผมมักมองสองมุมในเรื่องเดียวเสมอ
ขอบพระคุณครับ
ครับ คุณยายธี
งดงามที่ปนเปื้อน
เพราะขณะหนึ่งที่ปนเปื้อนก็เหมือนผ้าห่ม
ก็เหมือนหลังคา
ก็เหมือนหมวก
ก็เหมือนอ้อมกอด
ฯลฯ
กระมังครับ