นับจากฉันเริ่มรับราชการการเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๑...ฉันถือว่าฉันได้ทำหน้าที่
ของฉันอย่างเต็มกำลัง ความสามารถ...นับจากบรรจุเข้ารับราชการตั้งแต่ใช้วุฒิ ปวท.
ซึ่งต่ำกว่าระดับปริญญาตรี จนกระทั่งพัฒนาตนเองในระหว่างทำงานด้วย จนจบ
การศึกษาระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท...ฉันหมั่นศึกษา ค้นคว้า หาความรู้
ด้วยตัวของฉันเอง...ถึงแม้ภาครัฐเกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการ...ฉันก็สามารถ
เรียนรู้จากการเรียนด้วยตนเองจากเว็บไซด์ เรียนรู้ของสำนักงาน ก.พ. จากการเรียน
e learning ของ ก.พ. จากสำนักงาน กพร. ฯลฯ จนสามารถทราบถึงการเปลี่ยนแปลง
ของการทำงานในระบบราชการของประเทศไทย...รับทราบระบบของข้าราชการไทย
จากยุคสมัจก่อนกับสมัยปัจจุบัน ซึ่งมีความแตกต่างกันมาก...เป็นเพราะภาครัฐทำให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านของการทำงานในระบบราชการไทย...เรียนรู้ในการใช้
คอมพิวเตอร์ให้เป็น ให้ทันโลก ให้ทันคน ให้ทันเหตุการณ์...นั่นคือ การเรียนรู้ด้วยตัวเอง
มากกว่าที่จะมีโอกาสเข้าไปเรียนในห้องเรียน...เพราะสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องทำ นั่นคือ
การทำงานในระบบราชการไทย ผลงานก็ต้องออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ของคนทั่วไป
ว่าเป็นข้าราชการแล้ว ต้องมีผลงานด้วย ไม่ใช่เรียนอย่างเดียว...ฉันหาเวลาว่าง เช่น
หลังเลิกงาน พักกลางวัน ในการศึกษา ฉันพัฒนาตนเอง จนทราบถึงความเป็นไปของ
การทำงานในระบบราชการ แล้วก็เกิดความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของระบบราชการไทย
เข้าใจคนทำงานในสมัยก่อน กับสมัยปัจจุบัน และเข้าใจถึงความเป็นไปของคนในอนาคต
อย่างน้อย...ฉันก็ภูมิใจในตัวของฉันเอง ถึงแม้เป็นข้าราชการตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
แต่ก็สามารถนำพามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๗
ทำงานเรื่องงานบุคคล ให้สามารถสร้างระบบการบริหารงานบุคคลให้เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย
แห่งนี้ได้...และเป็นต้นแบบให้กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่มีคำว่า ราชภัฏ ติดมาด้วย
การทำงานบุคคล ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก...เพียงแต่ฉันเข้าใจพฤติกรรมของคน
เข้าใจในระบบ เข้าใจความต้องการของคน เข้าใจและยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดขึ้น
เพราะสังคมปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลง...ทำให้ฉันเข้าใจในระบบข้าราชการเดิมกับระบบ
ข้าราชการแบบใหม่...เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ข้าราชการใหม่กับคนทำงานภาครัฐรุ่นใหม่
สามารถทำงานอยู่ด้วยกันให้ได้...สิ่งที่ฉันต้องมีในการทำงานบุคคล นั่นคือ ความอดทน
อดกลั้นต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกับความคิด ความรู้สึกของฉัน...ฉันจะนำพามหาวิทยาลัย
ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่คนยอมรับในเรื่องการบริหารงานบุคคลได้อย่างไร...เพราะปัจจุบัน
ฉันเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ต้องมีคุณธรรมเข้ามาช่วยประคับประคอง เป็นที่พึ่งของผู้บริหารและที่พึ่ง
ของทุกคนในมหาวิทยาลัย...ไม่ใช่มหาวิทยาลัยของฉันเพียงแห่งเดียว สำหรับด้านงานบุคคล
ฉันต้องเป็นที่พึ่งให้กับน้อง ๆ ที่เป็นข้าราชการสายสนับสนุน เรียกว่า เกือบทั่วประเทศของ
คำว่า "มหาวิทยาลัยราชภัฏ"...ฉันจึงปฏิญาณตนว่า "ขอเป็นข้าฯ รองบาท" ให้กับพระมหากษัตริย์
ให้กับแผ่นดิน ให้กับประเทศชาติ สมกับที่ได้ชื่อว่า "ข้าราชการ"...ซึ่งคำ ๆ นี้ คือ ความหมาย
ของคำว่า "ข้าราชการ" ที่มีศักดิ์ศรี ทำเพื่อแผ่นดิน ทำเพื่อกับลูก หลาน ทำเพื่อทุก ๆ คน
ทำด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คอรัปชั่น มีความโปร่งใสในทุกขั้นตอนของการทำงาน
ผลที่ได้ นั่นคือ "ความสุขใจ" มากกว่า สิ่งอื่นใดที่ฉันได้รับ...เพราะจะส่งผลให้เกิด "ปิติ"
ภายในจิตใจ มากกว่าเงินทองที่จะได้รับในทางที่ผิดกฎหมาย...
นี่กระมัง!!! คือ หน้าที่ที่ฉันรับปากจากเบื้องบนให้มาปฏิบัติหน้าที่ด้วยใจที่เป็นธรรม
เพราะการเป็นข้าราชการ ใคร ๆ ก็เป็นได้ แต่จะมีความเป็นธรรมหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ
แต่ละบุคคลว่าจะกระทำได้มาก น้อยเพียงใด...เพราะความมีคุณธรรม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน
ไม่สามารถไปขอ หรือแบ่งกันมาได้ ขึ้นอยู่ที่ตัวของเราสร้างขึ้นด้วยตัวของเราเอง
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่า "บารมี" มากกว่า "การมีอำนาจ" ว่าแต่ใครจะใช้อำนาจไปในทาง
ทิศทางใด...ขอขอบคุณสวรรค์ ที่ส่งฉันมาให้เป็น "ข้าราชการ" ทำหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้ง
อย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยทำอย่างมีศักดิ์ศรีของคำว่า "ข้าราชการไทย"
สมกับคำว่า "ข้าฯ รองบาท" ของพระองค์...
...
ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
บุษยมาศ แสงเงิน
๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
...
(เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ได้เข้าร่วมกับทีมผู้บริหารของมหาวิทยาลัย ฯ ได้ทำการบันทึกเทป
ถวายพระพรเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งมีอายุครบรอบ ๘๘ ปี ณ สถานีโทรทัศน์
จังหวัดพิษณุโลก) ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ...ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ...
(รูปที่ถ่าย...แสดงการติดเครื่องหมายสลับข้างกันนะคะ เพราะใช้ Selfie
จึงทำให้เครื่องหมายอยู่สลับข้างกันค่ะ...เครื่องหมายที่ถูกต้องอยู่ในภาพที่ถ่ายกันหลายคน
หรือรูปหมู่ด้านล่างค่ะ)
ขอบคุณค่ะ อาจารย์ต้น