​ จุลินทรีย์ขี้ควาย ช่วยเพิ่มรายได้ ผ่อนคลายต้นทุนให้เกษตรกรลืมตาอ้าปาก



ถ้าจะคิด ถ้าจะทำอาชีพเกษตรกรรมโดยที่ไม่ต้องใช้เงิน หลายท่านก็คงจะคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ในเนื้อหาหน้านี้ขอบอกท่านผู้อ่านไว้เลยนะครับ ว่าเป็นไปได้ ถ้ามีหัวใจพอเพียงเพราะการทำเกษตรกรรมถ้าค่อยๆ คิด ค่อยทำ ก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเริ่มตั้งแต่การเตรียมเมล็ดพันธุ์ คือ เมื่อหมดรอบฤดูเก็บเกี่ยวไปในแต่ละคราว ควรจะต้องแบ่งผลผลิตส่วนหนึ่งให้คงเหลือไว้ทำพันธุ์ไม่เก็บเกี่ยวไปขายเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นพริก มะละกอ ข้าวโพด ถั่วฝักยาว มะระ ฟักแฟง แตงกวา ฯลฯ แล้วนำไปเก็บไว้ในที่ร่ม ไว้ตามขื่อคาหรือใต้ถุน เมื่อถึงฤดูเพาะปลูกฤดกาลใหม่ ก็นำเมล็ดพันธุ์ที่เก็บที่สำรองไว้มาเริ่มทำการเพาะปลูกใหม่ทำแบบนี้เป็นประจำทุกปีก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียตังค์ไปซื้อเมล็ดพันธุ์ลูกผสมจากบริษัทใหญ่ ๆ ให้เสียเวลา แถมยังเป็นการแตกกอต่อยอดได้สายพันธุ์ใหม่ให้ลูกหลานไทยได้มีพืชพันธุ์ธัญญาหารไว้เป็นสมบัติของชาติได้อีกด้วย เพราะการเพาะปลูกด้วยเมล็ดมีโอกาสได้ทั้งพันธุ์ที่ดีกว่าและพันธุ์ด้อยจากต้นแม่ต้นเดิมถ้าได้การกลายพันธุ์จากต้นแม่เดิมที่เด่นและดีกว่าก็ควรเก็บรักษาไว้

เห็นไหมครับว่า เพียงเริ่มต้นด้วยการดูแลรักษาเมล็ดพันธุ์ไว้ด้วยตนเอง เราก็สามารถที่จะมีความมั่นคงด้านพันธุ์พืชแบบไทยๆ ไม่ต้องไปง้อฝรั่งมังค่าหรือบริษัทยักษ์ใหญ่แต่ประการใด (Food Security) ต่อมาอีกแนวทางหนึ่งก็คือการที่จะต้องให้ความสำคัญกับอินทรีย์วัตถุที่จะต้องใส่เสริมเพิ่มเติมลงไปในดิน ต้องทำให้ได้เหมือนกับต้นไม้ในป่าเขาลำเนาไพร ที่เข้ามีเศษกิ่งไม้ใบหญ้าสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนร่วงหล่นกันลงมาเป็นอาหาร เป็นบ้าน ให้กับจุลินทรีย์ไส้เดือน แมงมุม และสิ่งมีชิวิตอื่นๆ อีกนานาชนิด ทำให้ดินไม่เคยเสื่อมคลายความอุดมสมบูรณ์

แต่การทำเกษตรของพี่น้องเกษตรส่วนใหญ่มักจะเป็นไปในลักษณะที่เอาเปรียบธรรมชาติ คือเอาผลผลิตออกไปจากแปลงเรือกสวนไร่นาในอัตราเป็นตันๆ แต่ผันปุ๋ยและอาหารกลับมาสู่ดินสู่พืชเพียงไม่กี่กำมือ ทำแบบนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเป็นระยะเวลายี่สิบสามสิบปี ดินก็มีแต่สูญเสียแร่ธาตุสารอาหารในดินออกไปแบบไม่สมดุลกับอาหารหรือปุ๋ยที่มนุษย์ให้กลับคืนมา จึงทำให้ดินขาดแคลนความอุดมสมบูรณ์ ยิ่งปลูกพืชยิ่งอ่อนแอ หมดความต้านทาน หมดภูมิคุ้มกัน ผลผลิตน้อย ต้องซื้อปุ๋ยยาฆ่าแมลงมาใส่เสริมเติมลงไปไม่รู้จักจบสิ้น ทำให้ต้นทุนส่วนใหญ่หมดสิ้นไปกับปัจจัยภายนอกที่ต้องใช้เงินเป็นปัจจัยหลักในการเพิ่มผลผลิต

การที่จะทำให้อินทรียวัตถุจากโมเลกุลใหญ่ๆ ให้กลายมาเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องมีตัวช่วยนะครับ ตัวช่วยที่ว่าก็คือการนำเอาจุลินทรีย์ท้องถิ่น ถิ่นใครถิ่นมันลงมาสู่กองปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ลงสู่แปลงเรือกสวนไร่นาของท้องถิ่นนั้นหรือจะเรียกได้ว่าจุลินทรี่ย์ไทยแลนด์ลงสู่แปลงนาไทยแลนด์ซึ่งก็น่าจะดีที่สุดจุลินทรีย์ที่ว่านั้นก็คือจุลินทรีย์จากสัตว์สี่กระเพาะ หลายๆ ท่านก็อาจจะเถียงว่ามันมีกระเพาะเดียวนั่นแหละ แต่กระเพาะเขามีสี่ห้อง สัตว์ที่มีสี่กระเพาะก็มี่ตั้งแต่ วัว ควาย แพะ แกะ เก้ง กระจง จิงโจ้ เป็นต้น ในกระเพาะของสัตว์เหล่านี้ จะมีจุลินทรีย์ ทั้ง ยีสต์ รา แบคทีเรีย โปรโตซัว ชนิดพิเศษที่สามารถย่อยสลายอินทรียวัตถุ (Organic Matter) ให้เปื่อยยุ่ยเป็นผุยผง สามารถสังเกตมูลวัว มูลควาย เมื่อเขาขับถ่ายออกมา เศษตอซังฟางข้าว เศษต้นไม้ใบหญ้าจะแหลกเละละเอียด อันนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากคุณสมบัติพิเศษของจุลินทรีย์ภายในกระเพาะ 3 ห้องแรกของเขา ซึ่งก็มีผ้าขี้ริ้ว (Rumen), รังผึ้ง (Reticulum), สามสิบกลีบ (Omasum) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ได้เกิดจากภายในร่างกายของสัตว์เป็นการเฉพาะ แต่เกิดโดยกระบวนการทางธรรมชาติที่มาช่วยทำให้สัตว์ที่มีสี่กระเพาะหรือกระเพาสี่ห้องดำรงชีวิตอยู่ได้ในธรรมชาติ (Symbiosis) ซึ่งกระบวนทั้งหมดจากกระเพาะ 3 ห้องนี้จะทำหน้าที่ในการบดหยาบ บดละเอียด บดผสม ก่อนจะส่งตรงไปยังกระเพาะจริงๆ ของเขา นั่นก็คือ กระเพาะห้องที่ 4 กระเพาะจริง (Abomasum)

เมื่อเราพอจะทราบว่าในกระเพาะของสัตว์สี่กระเพาะหรือสัตว์ที่มีกระเพาะสี่ห้องมี่คุณสมบัติของจุลินทรีย์ชนิดพิเศษที่มีความสามารถในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ (organic acid), เซลลูโลส (cellulose), เฮมิเซลลูโลส (Hemicellulose),ลิกนิน (Lignin) เราก็สามารถนำมูลวัวมควายสดมาเพาะเชื้อขยายด้วยจำนวน 2 กิโลกรัม ต่อน้ำสะอาด 20 ลิตร เติมกากน้ำตาลลงไปเพื่อเป็นอาหารเลี้ยงเชื้ออีก 10 ลิตรลูกแป้งข้าวหมาก 1 ลูก ถ้ามีก็ใส่ลงไปจะดี เพราะจะช่วยควบคุมจุลินทรีย์ตัวร้ายไม่ให้ก่อกำเนิดเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตจุลินทรีย์ขี้ควายหรือจุลินทรีย์สัตว์สี่กระเพาะนี้แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นอะไรนะครับ

เมื่อเราได้จุลินทรีย์ท้องถิ่นไทย ลงสู้แปลงเกษตรและกองปุ๋ยหมักปุ๋ยีคอกแบบไทย เขาก็สามารถทำงานได้ทันที ไม่ต้องปรับตัว ทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่คุ้นเคย ผนวกกับความสามารถในการย่อยสลายเป็นทุนเดิมทำให้เรามีปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกทันต่อการใช้งาน สามารภนำเศษตอซังฟางข้าว เศษกิ่งไม้ใบหญ้าที่ได้จากการตัดแต่งกิ่ง นำมาสับ บด หั่น ย่อย ให้กลายเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย กองไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่งที่ไม่เกะกะขวางทางการทำงาน เราก็สามารถที่จะมีปุ๋ยอินทรีย์ไว้ใช้ประจำเรือกสวนไร่นา มีพร้อมเติมลงไปในดินได้ทันทีทันเวลาใกล้เคียงกับเศษไม้ใบหญ้าตามป่าเขาลำเนาไพร เมื่อดินได้รับอินทรียวัตถุอย่างสม่ำเสมอก็ทำให้โครงสร้างดินดี มีค่าพีเอชมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นบ้านให้ไส้เดือน จุลินทรีย์ ตัวห้ำ ตัวเบียน แมงมุม ฯลฯ ก็เปรียบได้กับเป็นการคืนความสมดุลให้กับธรรมชาติ

เมื่อการเพาะปลูกบนพื้นที่ดินดี ก็เท่ากับว่าเรามีชัยไปกว่าครึ่ง การเจริญเติบโตของพืชก็สมบูรณ์แข็งแรง ลดการใช้ปุ๋ย ยา ฮอร์โมน ผลผลิตเพิ่มถ้าใช้ไปในระดับหนึ่งและมีการบริหารจัดการแร่ธาตุและสารอาหารอย่างเหมาะสม จนดินมีองค์ประกอบครบตามธรรมชาติคือ มีอินทรียวัตถุ 5 เปอร์เซ็นต์น้ำ25 เปอร์เซ็นต์ อากาศ 25 เปอร์เซ็นต์และอนินทรย์หินแร่อีก 45 เปอร์เซ็นต์ โครงสร้างหรือองค์ประกอบนี้เป็นดินที่พืชสามารถเจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องใส่หรือเติมปุ๋ยอีกต่อไป นอกจากได้ประโยชน์ในเรื่องของการลดการเผาตอซังฟางข้าวแล้ว เรายังได้วิถีชนบททำให้พี่น้องเกษตรกรมีวัว ควายไว้ใช้แรงงานช่วยทำให้ต้นทุนพี่น้องเกษตรกรลดลงมีกำไรที่เป็นตัวเงินและกำไรชีวิตได้อย่างแท้จริง

มนตรีบุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษwww.thaigreenagro.com

หมายเลขบันทึก: 595540เขียนเมื่อ 29 กันยายน 2015 18:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 กันยายน 2015 18:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เป็นหนทางสู่เอกราชทางารเกษตรของประเทศไทยครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท