​ ทำไมข้าวไทยไล่เวียดนาม



ถึงแม้ว่าปลายปีที่ผ่านมาไทยเราจะยังครองแชมป์ส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ก็ต้องยอมรับว่านั้นเป็นผลพวงจากการที่เราได้เคยไปตกลงเจรจาต้าอวยกับจีนผลพวงของรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแล้วรัฐบาลของท่าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาสานต่อให้เกิดเป็นผลต่อเนื่อง รวมทั้งเงื่อนไขอื่นๆ อีกมากมายจิปาถะที่ต่างก็สัญญิงสัญญาว่าจะช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งรถไฟความเร็วสูง สายอุดร ขอนแก่น โคราช สระบุรี กทม. และสระบุรี ไปมาบตพุด นี่ยังไม่นับรวมเรื่องของยางพาราอีกด้วยนะครับ จึงทำให้ตัวเลขการส่งออกข้าวในปีที่ผ่านมานั้นดูดีมีสกุลขึ้นมาเยอะเลย ไม่ขี้เหร่

แต่จะอย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับความจริง ว่าไทยเรานั้นมีข้อเสียเปรียบเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามอยู่ค่อนข้างเยอะ เพราะวิถีชีวิตชาวนาเวียดนามเป็นไปแบบธรรมชาติ การใช้แรงงานภาคการเกษตรก็เป็นแบบครัวเรือนไม่ต้องจ้าง พื้นที่การปลูกข้าวต่อหัวของเขาก็อยู่ที่ 6.25 ไร่เทียบกับของไทยก็จะอยู่ที่ประมาณ 17 – 20 ไร่ ทำให้มีเวลาที่จะดูแลแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที ค่าแรงขั้นต่ำก็อยู่ที่ 80 บาทต่อวัน ต่ำกว่าประเทศไทยเรา 3-4 เท่าตัว การขนส่งที่มีแม่น้ำภายในประเทศที่กว้างใหญ่หลายสาย เวียดนามจึงได้เปรียบไทยในแง่โลจิสติกส์อีกทางหนึ่ง คือใช้ก่ารขนส่งทางเรือทำให้ต้นทุนยิ่งต่ำ กอรปกับลักษณะของพันธุ์ข้าวที่ไม่ไวแสง เมล็ดสั้น โตเร็ว ให้ผลผลิตไว จัดอยู่ในชนิดของข้าวขาว 25% คุณภาพด้อยกว่าของไทยเรา และยังสามารถที่จะเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี เนื่องด้วยเวียดนามนั้นจะมีพื้นที่แปลงเล็กแปลงน้อยที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันปลูก จึงทำให้เกษตรกรชาวนาในบ้านเขานั้นมีรายได้ตลอดทั้งปีไม่ต้องหนีไปทำอาชีพอื่น พื้นที่ในเขตชลประทานบ้านเขานั้นก็มีมากกว่า 90 % บ้านเรามีเพียง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง

นี่ยังไม่นับรวมนโยบายหรือมาตรการจากภาครัฐนะครั้บที่ดูแลช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ชาวนาของเขาอย่างดีเยี่ยม เช่น นโยบาย 3 ลด 3 เพิ่ม ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้เมล็ดพันธุ์ ลดการใช้สารเคมีที่เป็นพิษเพิ่มคุณภาพชีวิต เพิ่มปริมาณผลผลิต เพิ่มรายได้ให้ชาวนา แต่นโยบายบ้านเรานั้นนานๆ ทีจะมีไปถึงไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำ ประกันราคา นอกนั้นก็เห็นมีแต่สั่งให้หยุดปลูกเมื่อน้ำท่วมหยุดปลูกเมื่อฝนแล้ง หยุดปลูกเมื่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลหรือโรคแมลงระบาด แทนที่จะเข้ามาดูแลแก้ไขให้อาชีพของชาวนาอยู่รอดปลอดภัยโดยไม่ต้องหยุด เหมือนกับอาชีพอื่นๆ อีกหลายอาชีพ ที่ไม่เคยเห็นรัฐบาลสั่งให้หยุด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานแบงค์ พนักงานออฟฟิศ พนักงานโรงงาน พนักงานต้อนรับที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับการท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ภาคการเกษตรเท่านั้นแหละครับที่รัฐบาลสั่ง “หยุด” ได้แล้วอย่างนี้ เราจะเอาอะไรไปสู้กับเวียดนาม และอีกประเทศหนึ่งที่ตามมาไม่ห่างเท่าไรอย่างเมียนมาร์ได้ล่ะครับ

สาเหตุอีกอย่างหนึ่งก็คือชาวนาไทยในปัจจุบันเป็นชาวนานายทุน มีโทรศัพท์สั่งงาน สั่งให้มาเตรียมดินทำเทือก สั่งให้มาหว่านเมล็ดพันธุ์ สั่งให้มาใส่ปุ๋ย สั่งให้มาฉีดพ่นยาฆ่าแมลงศัตรูพืช สั่งให้มาเก็บเกี่ยวผลผลิตทำให้ต้นทุนเราสูงกว่าเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และที่สำคัญไม่แน่ใจว่าชาวนาจริงๆ นั้นมีเหลืออยู่จำนวนเท่าใด มีพื้นที่เป็นของตนเองหรือไม่ หรือขายและเช่านานายทุนทำต่อแบบเอาชีวิตรอดไปวันๆถ้าเป็นเช่นนี้ชาวนาตัวจริงก็ขาดสิ่งจุงใจ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ลงทุนทำให้สิ่งใหม่ๆ เพราะกลัวว่าต้นทุนจะสูง กลัวจะเจ๊ง กลัวจะไม่มีเงินไปจ่ายค่าเช่า จึงทำให้ประสิทธิภาพชาวนาของประเทศไทยง่อยเปลี้ยเสียขาวิ่งหรือเดินตามประเทศอื่นๆ ไม่ทัน ....บางทีถ้าท่านเพียงเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนได้อย่างสิ้นเชิงนะครับ ดังพุทธธรรมคำสอนของท่าน ว. วชิรเมธี ที่ได้กล่าวเอาไว้ ลองหยุดรูปแบบเกษตรที่ใช้สารพิษ เปลี่ยนมาเป็นชีวิตการเกษตรที่ปลอดภัย ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสายเกินแก้......ลองดูนะครับ

มนตรีบุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษwww.thaigreenagro.com

หมายเลขบันทึก: 595511เขียนเมื่อ 29 กันยายน 2015 16:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 กันยายน 2015 16:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท