สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือที่เราเรียกกันสั้นว่า สภาพัฒน์นั้น ได้ประกาศตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจออกมาประมาณ 3 – 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งลดต่ำลงมาจากเดิมประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ (3.5 – 4.5 %) ซึ่งทำให้เราเริ่มที่จะไม่แปลกใจในการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนแล้วไช่ไหมครับ ว่าทำไมจึงชักหน้าไม่ถึงหลังที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะรายได้สุทธิ์ทั้งหมดของประเทศหักกับรายจ่ายสุทธิ์แล้วมันลดลงหรือเหลือน้อย ทำให้รายได้โดยรวมของคนไทยทั้งประเทศก็ลดน้อยถอยลงตามไปด้วย
เมื่อรายได้ของประเทศไม่ว่าจะมาจากการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนการสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ และอีกหลากหลายโครงการที่ก่อให้เกิดการจ้างงานของภาคประชาชน เมื่อมันลดลง เงินเข้าเงินออกที่ผ่านมือเราไปก็เริ่มฝืดเคือง ชักหน้าไม่ถึงหลัง
การหารายได้เสริมการหารายได้พิเศษเพื่อมาเกื้อหนุนจุนเจือครอบครัวให้ฝ่าฟันผ่านพ้นปัญหาไปได้จึงมักจะเป็นที่สนอกสนใจไปยังกลุ่มที่มีรายได้ไม่พอใช้โดยเฉพาะกลุ่มคนชนชั้นกลางที่สร้างรายได้จากการใช้แรงงาน ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ห้างร้าน หรือโรงงาน เมื่อประเทศไทยปรับเปลี่ยนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมาอยู่ที่ 300 บาทเหมือนกันทั้งประเทศ แล้วก็มีข่าแว่วๆ จากเจ้าสัว ซี.พี. จะให้ขยับขึ้นมาอีกเป็น 500 บาทต่อวัน กอรปกับประเทศไทยกำลังอยู่ในสังคม Aging Socity คือสังคมผู้สูงอายุซึ่งมีจำนวนที่มากกว่าวัยหนุ่มสาวหรือวัยแรงงาน จึงทำให้นายทุนบริษัทข้ามชาติต่างๆ เริ่มห่างเหินละเลยมองข้ามประเทศไทยเราไปยังประเทศที่มีกำลัง แรงงาน และค่าแรงที่ต่ำกว่า อย่างเช่นประเทศเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งซัมซุง ไมโครซอฟท์ ซีเกทท์ ฯลฯ อีกเยอะแยะมากมาย
ทั้งโอทีเบี้ยเลี้ยงคอมมิชชั่น ที่เคยจ่ายอย่างสะบั้นหั่นแหลกแม้แต่เด็กจบปริญญาตรีใหม่ๆ ที่ปกติจะมาสมัครรักที่จะทำงาน ออฟฟิศ ยังอดติดอกติดใจไปทำงานโรงงานที่ต้องลดวุฒิเหลือแค่เพียงม. 3 หรือ ปวช. เพียงเท่านั้น แต่ก็ยอมเพราะว่าได้ค่าเบี้ยเลี้ยง โอที รวมกันดีๆ แล้วก็มากกว่าจะไปทำงานออฟฟิศในเมืองหลวงเป็นเท่าสองเท่า
แต่อย่างว่าครับ สิ่งดีที่งดงามมักจะมาเร็วไปเร็ว ในห้วงช่วงนี้ก็คือเวลาที่โปรโมชั่นหมดลงแล้ว และดูลีลาท่าทางน่าจะยาวนานเสียด้วย เนื่องด้วยเศรษฐกิจของบ้านเราอยู่ในช่วงที่เฟื้องฟูมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 สมัยน้าชาติ หรือพล. อ. ชาติชายชุณหะวัณ ที่เป็นเจ้าของอมตะวาจา “เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า” นั่นแหละครับ มาจวบจนวันนี้เวลานาทีที่งดงามนั้นกำลังมุ่งพุ่งไปยังประเทศเวียดนาม ที่เหมือนกับประเทศไทยในอดีตเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วนั่นเอง
เพราะฉะนั้นการดูแลแก้ปัญหาให้กับการดำเนินชีวิตของพวกเราชาวไทยถ้วนทั่วทุกตัวตน นั้นควรจะต้องหาอะไรทำที่นำมาซึ่งรายได้ บนพื้นฐานที่เราจะต้องมีความถนัดจัดเจนด้วยนะครับ นั่นก็คงจะไม่พ้นอาชีพเกษตรกรรมที่บรรพชนคนไทยของเราลำบากตรากตรำทำมาหลายชั่วอายุคน แล้วถ้าไม่ดีจริง ไม่เหมาะสมกับเราจริงๆ มันคงจะสาบสูญสลายหายไปตั้งนานแล้ว แต่ปัจจุบันนั้นวิถีการเกษตรดูเหมือนว่าจะยิ่งดูดีมีสไตล์ในสายตาผู้คนชนทั่วโลกเลยนะครับ ยิ่งทำการเกษตรในรูปแบบที่ปลอดภัยไร้สารพิษด้วยแล้ว จะยิ่งมีแต่คนอยากจะแวะเวียนมาถามไถ่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำถ้าทำได้ดีๆ โดยใจลูกค้าไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวหอม ข้าวไรซ์เบอร์รี่ สังข์หยด ลืมผั้ว เพาะเห็ดเผาะ เห็ดหอม เห็นขอน เห็ดบด เห็ดนางรม นางฟ้า เห็ดฟาง ฯลฯ แล้วยิ่งถ้ามีการน้อมนำทำเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหลวงของเราด้วยแล้ว โอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากยิ่งๆขึ้นไปอีก เพราะเรียนรู้ เข้าใจ ในธรรมชาติ จากการทำเกษตรผสมผสาน ได้ดูรับรู้การพึ่งพิงอิงอาศัยของพืชใต้ดิน ผิวดิน บนดิน ได้เลี้ยงปลา หมู หมา กา ไก่ จนเกิดความชำนิชำนาญ เมื่อทำไปสักสองสามปีมีความชำนิชำนาญที่มากเพียงพอ จะขยับขยายทำใซส์หรือเสกลให้ใหญ่ขึ้นโอกาสที่จะผิดจะพลาดก็น่าจะน้อยลง .....สนอกสนใจในเรื่องการทำเกษตรปลอดสารพิษถ้ายังคิดไม่ออก ให้บอกให้ปรึกษาเรานะครับ
มนตรีบุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaighreenagro.clom
ไม่มีความเห็น