อยากลดความอ้วน อยากสุขภาพดี ต้องลงมือทำเอง


ตั้งแต่ปี 2551 - 2554 หลังจากที่ป่วย และเข้าผ่าตัดใหญ่ครั้งแรก
เราดำเนินชีวิตแบบ ผู้บริโภคทั่วไป เชื่อไปตามกระแส ทั้งโฆษณา และการชวนเชื่อ

เคยลดน้ำหนัก โดยซื้อกาแฟลดน้ำหนักบางประเภทมาใช้ ได้ผลนิดหน่อย แต่ไม่ยั่งยืน
เพราะพฤติกรรมการบริโภคของเราก็ยังคงเช่นเดิม ทานอาหารที่อยากกิน ไม่ได้คำนึงอะไรมากมาย
ดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ประกอบด้วยน้ำตาลสูง ชอบกินขนมขบเคี้ยว มันฝรั่งทอดกรอบหลายๆ ยี่ห้อ ที่ดังๆ กินวันละห่อใหญ่ๆ

คิดว่ากาแฟลดน้ำหนักไม่ได้ผลก็เลย ซื้อยาลดน้ำหนักบางยี่ห้อมาทาน ก็เสียเงินไปเยอะ ได้ผลในช่วงแรกๆ หลังๆ ก็เข้าสู่สภาวะปกติ
ก็ยังคงทานอาหารที่ประกอบด้วยไขมัน น้ำตาล และดื่มกาแฟวันละหลายๆ แก้ว
จึงเลิกทั้งกาแฟลดอ้วน และยาลดน้ำหนัก ไม่เวิร์คซะแล้ว

เริ่มต้นต่อมา ก็ทดลองเปลี่ยนวิธีการกินกาแฟที่ปกติใส่น้ำตาล และใส่ครีมเทียม โดยเปลี่ยนมาเป็น
กาแฟดำใส่น้ำตาลน้อยลง ก็ดีขึ้น รู้สึกน้ำหนักลดไปเยอะ จาก 67 เริ่มลงมาที่ระดับ 65
แต่ไม่ลงไปกว่านั้น เพราะเราทานกาแฟ วันละ 4-5 แก้ว ทุกเบรคของการทำงาน

ได้ทดลองเลิกกาแฟ ที่มีน้ำตาลสูงทุกชนิด
เลิกเครื่องดื่มน้ำอัดลมหวานทุกชนิด
และเริ่มเลือกทานอาหารที่ไขมันน้อยๆ แต่ก็ยังอดใจ ไม่ได้ยังทานข้าวมันไก่ทอด และข้าวขาหมู เมนูโปรด
ผักผลไ้ม้ ยังรู้สึกทานน้อย ไม่นิยมนัก แต่ค่อยๆ เพิ่ม น้ำหนักยังทรงๆ ที่ 64 กิโลกรัม

พอปี 2557 เป็นปีที่เข้าผ่าตัดใหญ่ครั้งที่ 2 ในระหว่างที่นอนพักโรงพยาบาล ได้มีโอกาส ค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และฟังสาระของเมนูอาหาร และการออกกำลังกาย ก็คิดว่า ชีวิตนี้ไม่แน่นอน ร่างกายก็ของเรา เราคงจะต้องทำอะไรสักอย่าง จะมีโอกาสลดน้ำหนัก ให้โรคประจำตัวน้อยลงได้หรือไม่ ก็คิดหนัก ว่าถึงเวลาที่เราคงต้องจริงจังสักที

พอออกจากโรงพยาบาล มีคณะฯ มีส่งเสริมให้บุคลากรออกกำลังกายด้วยโยคะ ก็ไปเข้าคอร์สกับเขาสักหน่อย

ในระหว่างนั้น ก็ได้มีรายการ "องค์กรซ่อนอ้วน" ที่มี อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ มาให้ความรู้ ครูสอนโยคะ ก็ได้แนะนำการออกกำลังกาย และควบคู่กับ การทานอาหารคลีน ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจ ก็ยัไม่ได้กินคลีน
แต่เน้นกินผักๆ ให้มากขึ้น ส่วนการกินอาหารหรือเลือกกินนั้น ยังคิดไม่ออก

ภาพนี้ วัดรอบเอว ในช่วงแรกๆ ก็เริ่มลดลง จากกางเกง 35 นิ้วเหลือใส่เพียง 32 นิ้ว เปลี่ยนกางเกงหมดตู้

บอกแล้วว่าความรู้ด้านสุขภาพไม่มีเลย ได้แต่หาอ่านจากอินเทอร์เน็ต และฟังจากคนรอบข้าง (ซึ่งมารู้ภายหลังว่า เป็นความเชื่อที่รับฟังกันมาส่วนใหญ่ และไม่เคยลองปฏิบัติ ได้แต่โม้ให้คนอื่นฟัง อันนี้เรื่องจริงของมนุษย์ ที่ชอบสอนคนอื่น แต่ไม่เคยสอนตนเอง เอวัง)
มีการออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2 วันคือ อังคาร และพฤหัส ครั้งละ 1 ชั่วโมง ก็เลิก และไม่ได้ทำอะไรต่อไป

ไม่ได้รู้สึกว่ามันเบิร์น เพียงแครู้สึกว่า เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย และการเกร็งกล้ามเนื้อ เลยเพิ่มการแกว่งแขนแล้วย่อตัวช่วยได้เยอะ เหงื่อออกมากกว่า

เลิกเล่นโยคะก็เติมเต็มอาหารด้วย ส้มตำ และไก่ย่าง (ฉีกหนังทิ้ง ไม่กินหนัง อันนี้คิดว่าตัวอ้วนเลย) กินทุกครั้งที่เลิกเล่นโยคะ

ทุกเช้าก็ชั่งน้ำหนักเริ่มลดลงเหลือ 61-63 กิโลกรัม วิ่งขึ้น วิ่งลงในระดับนี้แหละ ไม่ไปไหน ไม่เคยแตะ 5x.x กิโลกรัม ซึ่งหวังไว้แต่คงไปไม่ถึงแน่ๆ



ไปตรวจร่างกายประจำปี ผลก็ดีขึ้นไปตามลำดับ มีแค่ไขมันคลอเรสเตอรอลตัวเลว สูง

ส่วนปัสสาวะที่เคยมีการปนเปื้อน ก็หายไปแล้ว แสดงว่า เรามาถูกทาง
1. ทานอาหารที่ประกอบด้วยผัก เช่น ผัดผัก หรืออะไรที่น้ำมันน้อยๆ บอกแม่ค้าว่า ไม่เอาน้ำราด เอาแค่ผัดผัก ตรงนี้จึงคิดว่า ลดได้ทั้งไขมัน และโซเดียม ที่ทำให้ร่างกายเราตรวจสุขภาพแล้วดีขึ้น ไข่ไม่ค่อยกล้ากินมาก ได้ยินมาว่า ห้ามทานเยอะคลอเรสเตอรอลสูงปรี๊ดๆๆ เลยทานวันละ 1 ฟอง (อันนี้ก็ความเชื่อผิดๆ อีกเดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดูในตอนถัดไป) ผลไม้เลือกทานผลไม้จืดๆ ไม่กล้ากินทุเรียน กล้วย หรือผลไม้หวานๆ เพราะมีบางคนที่เชื่อว่า ทำให้อ้วน น้ำตาลขึ้น (อันนี้ก็ความเชื่อผิดๆ อีก ถ้าเราทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ตายหรอก ทานกันมากี่ชั่วอายุคน)

2. เลิกน้ำอัดลมทุกชนิดเลย แต่นานๆ ดื่มสัก แก้ว สองแก้ว ได้ ไม่ถือว่าเป็นคนเคร่ง ชีวิตเป็นของสบายๆ ดูแลง่ายๆ จะมีความสุข

3. กาแฟ ถ้าจะกิน ก็กาแฟดำ เริ่มเลิกไม่ใส่น้ำตาลแล้ว แต่ยังพบว่า ตัวเอง ติดกาแฟ เพราะดื่ม เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น รวมเบ็ดเสร็จหลายแก้วต่อวัน น่าคิด ตอนนี้เลิกยาก แต่ก็ดีกว่า กินกาแฟคาปูชิโน่ อะไรที่น้ำตาลสูงๆ ก็แล้วกัน

4. ยังคงทานอาหารบุฟเฟ่ปกติ ของชีวิต เดือนละ 2-3 ครั้ง แล้วแต่มีโอกาส โดยเฉพาะอาหารญี่ปุ่นบุฟเฟ่ แต่ยังคงควบคุมน้ำหนักได้นะครับ เพราะอยู่ในช่วง 61-63 kg

5. ยังคงออกกำลังกายปกติ 2 วันต่อสัปดาห์

อันนี้เป็นภาพตอน ปี 2551 เทียบกับปี 2558 ดูใบหน้าที่อวบอั๋น แตกต่างกันไปเยอะ และ

สุขภาพดีกว่าเดิม หุ่นก็ฟิตแอนด์เฟิร์ม มากขึ้น six packs มาเอง ไม่ได้เล่นเวทอะไรกะเขา นอกจากโยคะ กะแกว่งแขนย่อตัว

ต่อมา ก็ได้มีโอกาส ได้ศึกษาเรื่อง การ Detox ลำไส้ ที่มีคนต่อต้านกันมาก ผมเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่ไม่รู้จัก แถมไม่เชื่อว่าจะทำได้จริงๆ อย่ามาชวน เลิกคิด
แต่ไม่รู้เหตุใด ก็ได้มีโอกาสไปเข้าคอร์สกับเขา ประมาณ 3 วัน 2 คืน ราคา 3 พันบาท

ในคอร์สมีการสอนวิธี Detox และการดูแลสุขภาพ การกินอาหารที่สะอาด ที่มนุษย์ควรกิน คือ ผัก และผลไม้ ที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ และได้เห็นการส่องกล้องเข้าไปในลำไส้ใหญ่ เห็นอาการของผู้ป่วยลำไส้ แต่ละประเภท ทำให้รู้สึกว่า ตัวเอง มาผิดทางเยอะเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ได้รับจากคอร์สนี้ มากมายเหลือเกิน ในเรื่องของอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพที่หาได้ง่ายๆ เน้นผักและผลไม้ แต่อย่าลืม ต้องใช้ร่างกายของเรานี้แหละเป็นเครื่องชี้วัด ว่าอาหารนี้เหมาะ ไม่เหมาะ หาสมดุลย์ เพราะแต่ละคนสมดุลย์ไม่เท่ากัน

หลังจากกลับมาจากคอร์ส พฤติกรรมการกินอยู่ เริ่มเปลี่ยนไป น้ำหนักหลังออกจากคอร์สเหลือ 60 - 62 กิโลกรัมต้นๆ ดีใจมาก เริ่มแตะที่ 60 kg

1. ทานอาหารที่ประกอบด้วยผัก เช่น ผัดผัก มากๆ วันแรกๆ ไม่ทานเนื้อไก่ เนื้อหมูเลย หลังๆ เริ่มปรับตัว พอทานได้บ้าง และเลือกได้ทานปลา (อาหารญี่ปุ่น บุฟเฟ่ เน้นเลือกกินผักๆ ปลาๆ เป็นหลัก ยังคงทานนะ ไม่ใช่ หักดิบ)

2. ทานผลไม้ ประเภททุเรียน วันละ 2 เม็ด ตามด้วยน้ำอุ่นทุกเช้า เพื่อให้ ซัลเฟอร์แก่ร่างกาย ได้จัดการส่วนที่เป็นเซลล์ก้อนเนื้อมะเร็ง ให้ฝ่อ ปรากฎว่า ทานอยู่ประมาณเดือนหนึ่ง ได้ผล ก้อนๆ เล็กลงไป จนแทบจะหมด ติ่งเนื้อหายไปแล้ว

3. ทานกล้วยไข่ หรือกล้วยหอม หรือกล้วยเล็บมือนาง หรือกล้วยน้ำว้า แล้วแต่จะหาได้ วันละ 1-2 ลูก รู้สึกตลาดบางแห่งขายแพงไป เลยซื้อทานเป็นบางมื้อ (ทานผลไม้อื่นๆ ได้บ้าง ถ้ามีจังหวะที่ต้องซื้อ มังคุด ละมุด ลำไย มะเฟือง มะไฟ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ฯลฯ)

4. เลิกกินกาแฟ เน้นดมกลิ่น เพราะไม่อยากป่วย เพราะกาแฟอีก เพราะน้ำที่สวนออกมาทางลำไส้ เป็นคนเดียวที่สีดำกาแฟ คนอื่นใส เหลือง และเลิกน้ำอัดลมทุกชนิด หันมาดื่มน้ำเปล่า ไม่ใช่น้ำเย็น น้ำอุ่นหรือน้ำเปล่า ดีที่สุดทานวันหลายๆ ขวด ค่อยๆ จิบ

5. ยังคงทานอาหารบุฟเฟ่ บางมื้อปกติ โดยเฉพาะอาหารญี่ปุ่นบุฟเฟ่ เน้นปลาๆ ผักๆ ผลไม้ เท่าที่อยากทาน ทั้งที่รู้ว่า ไขมันที่เขาใช้ทอดเยอะ และโซเดียมผงชูรสเพียบ

6. ยังคงออกกำลังกายปกติ 2 วันต่อสัปดาห์

7. ทำการล้างลำไส้ Detox ด้วยน้ำเปล่า หรือน้ำใบเตยบ้าง 2-3 วันครั้ง เฉพาะก่อนเข้านอน โล่งเลย

8. ซื้อน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็น มาใช้ ทาหน้า แทน sun block ทาเสร็จ ทิ้งไว้สักครู่ ใช้ทิชชู่เช็ดความมันออก ใบหน้าเรารู้สึกนุ่มเนียนขึ้น บางวันก็ กิน 1 ช้อนชา ตามด้วยน้ำอุ่น บำรุงช่วยเผาผลาญไขมัน

9. ใช้น้ำตาลปี๊บ มาปรุงอาหารมื้อเย็น ทานที่ห้อง แทนน้ำตาลทราย อันนี้แหละตัวอ้วนเลย ความเชื่อผิดๆ ว่าน้ำตาลปี๊บไม่สะอาดบ้าง อะไรบ้าง ร่างกายเรา อ้วนมาเพราะไอ้น้ำตาลทราย ไม่ว่ายี่ห้อไหนๆ คือ ไม่ซื้อมาไว้เลย เพราะไงไปสั่งนอกบ้านทาน แม่ค้าใส่ให้เพียบแล้ว รับรอง

10. น้ำผึ้ง ซื้อจากดอยคำ ไว้ติดบ้าน ไว้ชงกิน กับชา หรือ ขิงผง 100% ที่ไม่มีน้ำตาล ยี่ห้อหนึ่ง ลองหาดูนะครับ

11. ซื้อเกลือทะเล ที่สมุทรสาคร ที่ความเชื่อผิดๆ บอกเกลือนี้สกปรก ผมก็เอามาใช้ปรุงแต่งรสอาหาร แทนผงชูรส หรือโซเดียมต่างๆ ที่ขายตามท้องตลาด

12. ซื้อมะนาว มาบีบ ใส่น้ำผึ้ง และใส่เกลือทะเล มาปรุงใส่ไว้ในตู้เย็น ไว้ทานก่อนนอน 1-2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำเปล่า ไม่เย็น

13. กินไข่ต้มสุก หรือไข่ดาวที่ทอดด้วยน้ำ ไม่ใช้น้ำมัน วันละ 3 ฟอง ใครจะว่าคลอเรสเตอรอลจะขึ้น มีมาทักกันทุกวัน ไม่ใส่ใจครับ ทานไปเรื่อยๆ ร่างกายเราเรารู้

ไม่จำเป็นต้องทำทุกข้อ เพราะชีวิตการดำเนินมันจะพัฒนาไปเอง ตอนนี้พัฒนาไปเยอะ ความสม่ำเสมอ ความมีวินัยมันจะฝึกฝนให้เราทำได้เอง

และมาถึงวันนี้ ลองชั่งน้ำหนัก ดู เหลือ 58-59 กิโลกรัม ในช่วงนี้แล้ว

เพิ่งไปตรวจสุขภาพมา ทุกอย่างอยู่ในค่าปกติ ไม่ว่า น้ำตาล ไขมันตัวดี ไขมันตัวเลว ความดัน หัวใจ เต้นปกติ ชีวิตมีความสุข ถ่ายท้องก็เป็นสุขเพราะวิธี Detox ช่วยให้ไม่รู้สึกอึดอัดร่างกายนี้

ขอทิ้งท้ายไว้ อะไรที่อ่านมา ที่ฟังเขามา แล้วเขายังไม่พิสูจน์ให้เราเห็น เท่ากับแค่ "เพียงลมปาก"
เราเอง ต้องลงมือทำเอง แล้วเราจะรู้วา ไอ้ที่รับฟังมา หลายๆ เรื่อง เราถูก การตลาด Marketing หลอกเอาแล้ว

ทั้งเรื่องผลไม้ อันนี้กินไม่ดี กินแล้วอันโน้น อันนี้จะขึ้น

ทั้งเรื่องไข่ ห้ามกินเยอะ อันนั้นขึ้น อันนี้ขึ้น

ผมพิสูจน์ และจะพิสูจน์ไปเรื่อยๆ แล้วจะมาเล่าสู่กันฟังต่อไปครับ


**** เพิ่มเติม รูปของหลานชายของผมเอง ที่เริ่มรู้จักเลือกทานอาหาร ทานคลีนๆ อาหารทำเอง และออกกำลังกาย

ใช้เวลาตั้งแต่ มิถุนายน 2558 ตอนนี้ถึงสิงหาคม 2558 ลดไป 15 กิโลกรัม ตามรูป

เดี๋ยวนี้ เป็นวิทยากรแนะนำหลักสูตรของมหาวิทยาลัยหอการค้า ตามที่เขาชอบในวิชาชีพแบบนั้นๆ


สรุปแล้ว อยากลดน้ำหนัก อย่าตามใจปาก แต่ให้เลือกตามใจสุขภาพ เท่านั้น

และไม่ต้องเลือกใช้ยาลดน้ำหนัก หรือกาแฟลดน้ำหนัก ชาลดน้ำหนัก ไม่ต้องครับ

เลือกทานอาหารธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำตาลจากธรรมชาติ เท่านั้น

แค่นี้ร่างกายก็จะเบิร์นได้เต็มที่

หมายเลขบันทึก: 593998เขียนเมื่อ 27 สิงหาคม 2015 20:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 สิงหาคม 2015 09:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ดิฉันกำลังจัดการตัวเอง 6 เดือนแล้วค่ะ รอให้เห็นผลชัดกว่านี้จะนำมาแลกเปลี่ยนค่ะ

ยินดีด้วยนะเพื่อนในความสำเร็จ จันก็พยายามอยู่เช่นกันนะ

ขอบคุณมากๆ ครับ เพื่อนจัน ชีวิตต้องเดินต่อไป 555

ขอบคุณ คุณดารนี ขอให้สำเร็จสมหวังครับ สู้ๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท