ผมประทับใจในท่าทีและการถ่ายทอดประสบการณ์ของคุณครูอุ๋ยและคุณครูก๋วยมากๆ จนได้ "ข้อคิดเตือนสติสัมปชัญญะให้ผมทบทวนตัวเองและค่อยๆคิดเชิงระบบสู่การบ่มเพาะปัญญาด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์" จึงอยากเล่าคำสุนทรียสาถกและสนทนาผ่านบันทึกนี้
ด้วยความเชื่อมั่นในวงสนทนาแบบ "วงกลม" และการตั้งคำถามแบบ "ย้อนแย้ง" ทำให้ผู้ร่วมวงได้พินิจคิดสำรวจตนเอง ประกอบกับภาพและเนื้อหาวิชาการเพียง 8 สไลด์ ทำให้ผมเข้าใจที่มาที่ไปของ "ละครประยุกต์นอกกรอบ...หยิบบางส่วนบางตอนมาพัฒนามนุษย์ผ่านกระบวนการให้ผู้ชมละครได้ขบคิด ลองเล่นดู นิ่งฟัง ลงมือทำ แล้วค่อยๆเกิดการสั่นสะเทือนจิตใจ (วางเฉยแล้วเกิดความรู้สึกที่แท้จริง) เพื่อเข้าใจความเมตตากรุณาอยากช่วยเหลือผู้อื่น เข้าใจคนอื่นผ่านละคร สร้างเหตุผลเพื่อการตัดสินใจด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ เอาตัวเองเข้าไปสวมรองเท้าของคนอื่น หากเรามีเหตุจากแรงจูงใจ เค้าก็มีแรงจูงใจ (แรงจูงใจมิใช่ผล) ในมุมที่สังคมตีตราบาปเค้า แต่เรามองมุมดีของเค้า เรากำลังมองถึงกระบวนการที่มิใช่การสร้างนักแสดงละคร หากแต่เป็นกระบวนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตนเอง คนอื่นๆ และสังคมต่อไป "
จากประเด็นสังคมแบบทุนนิยม เราจะนำเด็กไปสู่อะไร...เรากำลังโดนกดทับ (Oppressed) ทำให้เราไม่ได้รับความเท่าเทียมกันของสังคม เรากำลังกลายเป็น "วัตถุ" จนลืมใช้ "ความรู้สึกนึกคิด" ... จิตวิญญาณหล่อเลี้ยงชีวิตของเราทุกคนกำลังเหือดแห้งไป
จากแนวคิดของ คาร์ล มากซ์ สู่ อันโตนีโอ กรัมชี และ หลุยส์ อัลธูแซร์ ทำให้เรารู้ว่า "เรากำลังถูกกล่อมเกลาให้เชื่อแบบสมยอมในโครงสร้างของรัฐ" และเมื่อมองระบบการศึกษาของรัฐ "เราควบคุมไม่ได้จริงหรือ" ซึ่งแนวคิดการศึกษาที่มิใช่การฝากธนาคารหรือการสอนแบบป้อนข้อมูลจนผู้เรียนเชื่อแบบสมยอมของเปาโล แฟร์ ทำให้เราต้อง "ใส่หัวใจแห่งการเรียนรู้ความเป็นมนุษย์" ในการทำตัวเป็นครูผู้มีคุณค่าให้ผู้เรียนเกิดความรู้ มีจิตวิญญาณ มีอิสระในการตอบโต้ และสะท้อนความคิดเพื่อการพัฒนาตัวเองและชาวบ้านผู้ด้อยโอกาสทางสังคมให้จงได้ในช่วงชีวิตที่เกิดมานี้
ในขณะที่นักแสดงการละครทั้งหลายมีศิลปะขั้นสูง มีอารมณ์หลั่งน้ำตาและตกแต่งหน้าตางดงาม อีกชายขอบหนึ่งบนโลก นักการละครหลายคนไม่สามารถมุ่งหน้าไปในระดับ "นักแสดงยอดนิยมแถวหน้าของสังคม" ก็ผันตัวเองมาเรียนรู้ทุกสรรพศาสตร์ทำให้เกิดการประยุกต์วิถีการละครเพื่อการพัฒนามนุษย์ในหลากหลายรูปแบบ (Theatre for Development, TfD) เช่น ละครบำบัด ละครชุมชน ฯลฯ แม้ว่าจะมีนักวิชาชีพตัวจริงมากมาย เช่น นักละครบำบัด แต่นักการละครทั้งหลายก็มองว่า "การแบ่งแยกส่วนวิชาชีพผู้เชี่ยวชาญมากมาย ทำให้มีอัตตาในตัวเองสูง ทำให้เราลืมสิ่งที่เราเป็น (เหมือนครูเองก็เพิ่งพบตัวเองในวัย 60 ปีที่อยากเต้นเป็นหญิงลี) ทำไมเราไม่หลอมรวมรากเหง้าวิชาชีพต่างๆจากจัดเดียวกันด้วยจิตวิญญาณมนุษย์เสียที"
ละครเพื่อการพัฒนามนุษย์ข้างต้นมุ่งหมายสะท้อนว่า "เราเคารพนับถือผู้อื่นมากแค่ไหน เราให้ความสำคัญชาวบ้านอย่างไร เรากำลังประมวลความสามารถและมีวิธีการดูแลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราจะสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ในและนอกรัฐอย่างไร เราอยากให้ผู้อื่นเป็นตัวของตัวเอง (ไม่ต้องแต่ง/ใส่หน้ากาก)ได้อย่างไร เราควรฝึกเด็กๆและคุณครูให้ผ่านกระบวนการละครเพื่อ "กล้าพูด การได้ฟังเสียงตัวเองพูดในกลุ่มคนมาก เราต้องให้พื้นที่เร็วที่สุด - ความเป็นมนุษย์หายไปเมื่ออยู่ในความเงียบ Human Existence cannot be Silent"
นักการละคร แบร์ทอลท์ เบรคชท์ ใช้ทักษะเล่นละครให้คนเล่นกลายเป็นคนเล่าเรื่องด้วยท่าทาง นำหลายคนมาผสมผสานจากเอกสารหนังสือพิมพ์จนถึงฝึกสติมิให้คนดูละครต้องใช้ความรู้สึกทางอารมณ์มากเกินไป หากแต่เกิดทักษะเมตตาว่า "เรารู้ เราเข้าใจ และเราจะแก้ไขอย่างไร" หรือ นักการละคร เฮอเบิร์ต โบล คิดเรื่องการสื่อสารสามภาพเพื่อตอบโจทย์ว่า "ทำอย่างไรให้คนที่ไม่เคยเล่นละครได้เล่าเรื่องผ่านภาพแบบไม่ต้องการเพียงผู้ชม" จนถึงการใช้ละครเสวนา (Forum Theatre) รวมถึงการมาดูงิ้วแล้วจัดลิ้นชัก (ระบบทุนนิยมที่คนตะวันตกชอบจัดระบบความรู้ แต่ทำได้ไม่เนียนเท่าคนตะวันออกผู้มีสติ) ภายใต้ร่มของละครประยุกต์ หรือ ออกัสโต โบอัส ก็สร้างการละครเพื่อการสื่อสาร ปัจจุบันนี้อาชีพนักการละครนิยมเล่นละครแสดงสถานการณ์ให้เกิดการเรียนรู้ในทุกระดับชุมชน
คุณครูอุ๋ยไม่ชอบคำว่า "กระบวนกร" เพราะกระบวนกรที่แท้จริงควรเป็นศิลปิน มองเห็นภายในตัวตน มีรายละเอียดที่เรารู้จักตัวเองมากที่สุดและกำลังแบ่งปันผู้อื่นด้วยทักษะเปิดใจเปิดตัวอย่างปราณีต เกิดการนำทฤษฎีมาใช้ปฏิบัติซ้ำๆจนเกิดการเรียนรู้หรือ Praxis และต่อยอดจัดวางกิจกรรมให้คนคิด เมื่อฝังสิ่งนั้นลงไปแล้ว เราจัดสิ่งนั้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างไรกับผู้ร่วมเรียนรู้
"ทำอย่างไรจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในใจ/พื้นที่ชีวิตคน - เราต้องตั้งคำถามที่ไม่มีคนชอบหรือกระแทกใจบ้าง เช่น สังคมมีปัญหาอะไร (สกัดคำถามจากใจผู้คน) หรือ คุณกำลังอยู่ในระบบที่กดทับหรือในกรอบหรือไม่ เราเกิดความอยากของตนที่เพิ่มความเลื่อมล่ำในสังคมหรือไม่ - อยากหน้าขาว อยากเล่นกล้าม มีชนชั้นตามสุขนิยมหรืออัตตนิยม เราขาดมโนสำนึกถึงความรู้ในการทำความเข้าใจชุมชน รากเหง้าสู่ปัจจุบันของความรู้ที่ค่อยๆเกิดขึ้น (Slow knowlege) เราต้องยอมรับความงามของมนุษย์โดยธรรมชาติอย่างไรกัน และเราจะใช้สติสัมปชัญญะเกิดลมหายใจที่ช้าลง ทำให้เราพิจารณาตัวเองจนเข้าใจทันความคิดเราได้อย่างไร"
ข้อคิดโดยสรุปจากคุณครูอุ๋ยที่ทำให้สะเทือนจิตใต้สำนึกของผมและย้ำตรงกับทุกสรรพสิ่งเชื่อมโยงกัน ไม่มีความล้มเหลว มีแต่การสะท้อนความรู้สึก เช่น
ขอบพระคุณมากครับอ.Wasawat และพี่นงนาท
สรุปได้สุดติ่งมากครับ Dr.POP
ครู.. สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เป็นแรงบันดาลใจ..(inspiration ศิษย์)
ครูละคร ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับการแพทย์หรือสาธารณสุข แต่ในความจริง..เราเห็นชีวิตจริง เรื่องราวเพื่อนมนุษย์ผู้เจ็บป่วยยิ่งกว่าละคร..ในเชิงระบบที่ซับซ้อน(complexity system) เราเกี่ยวโยงสัมพัทธ์กันเสมอ ครูสอนให้เรา..รักเพื่อนมนุษย์เป็นกิจ ที่๑ ...
เทอดทูนบูชาครู ทุกแขนง...ที่สอนอนุชน ให้เป็นไป เพื่อบำบัดทุกข์...ในตัวศิษย์และพหูชน
ขอบคุณ ดร.POP นำเสนอทำให้พวกเรา ได้เห็นคุณค่า ครูอีกแขนงหนึ่ง..ที่ดำรงความ จริง ความดี และความงาม..ให้ปรากฎ
ยินดีและขอบพระคุณมากครับคุณหมอประวิทย์
ขอบพระคุณมากครับอ.ต้น และคุณ P. Rinchakorn
https://www.gotoknow.org/dashboard/home#/posts/594...
https://www.gotoknow.org/dashboard/home#/posts/593...
2 เรื่องติดตามได้นะครับ
ขอบพระคุณครับ
ขอบพระคุณมากครับคุณวินัย
ชอบใจงานเขียนนี้
ได้เห็นพี่ก๋วยทำงานต่อเนื่องนะครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ยินดีและขอบพระคุณมากครับคุณเพชรน้ำหนึ่ง ผมสบายดีครับและคิดถึงเสมอนะครับผม
ขอบพระคุณมากครับพี่ขจิต อย่าลืมแวะมาทำความรู้จักคศน.ในวันที่ 29-30 ต.ค.ศกนี้นะครับ