วิธีการลดอาการของโรค “กรดไหลย้อน” Gastroesophageal Reflux Disease (GERD) ด้วย อริยสัจ 4


วิธีการลดอาการของโรค “กรดไหลย้อน” Gastroesophageal Reflux Disease (GERD)

แบบของผมเอง ด้วยหลัก อริยสัจ 4 ภาคปฏิบัติ ระดับปุถุชน ธรรมดาๆ

****************************************************************

ผมมีปัญหาของโรคกรดไหลย้อนมากว่า 10 ปี โดยไม่ทราบว่า ตัวเองเป็นอะไร

(ไม่รู้ว่า ทุกข์ คืออะไร)

คิดแต่ว่าอาจจะเป็น “โรคหัวใจ” เพราะมีอาการจุกเสียด แน่นหน้าอก บ่อยๆ บางทีก็วันละหลายครั้ง บางทีก็นานๆจะเป็นสักครั้ง

-----------------------------------

จึงตัดสินใจไปหาหมอทางด้านโรคหัวใจท่านหนึ่ง (โด่งดังที่สุดของมหาวิทยาลัยขอนแก่น) ที่ท่านทำให้ผมผิดหวังมากๆๆๆ

ท่านสั่งให้ผมไปตรวจคลื่นหัวใจ และอีกหลายๆอย่างที่ผมจำไม่ได้ เพราะผมมีเจตนาอย่างแรงกล้า ตั้งใจลืมเรื่องนี้ และให้อภัยกับกรรมที่หมอท่านนี้ ทำไว้กับผม

ท่านบอกผมว่า ท่านจะตรวจได้เฉพาะเวลาผมมีอาการเท่านั้น แค่ฟังอาการจากผมเล่ามา และข้อมูลจากเครื่องมือต่างๆนั้น ท่านตรวจให้ไม่ได้

ท่านแนะนำให้ผมมาหาท่านอีกครั้งเมื่อมีอาการ ให้มาหาท่านทันที

ท่านไม่ยอมฟังผมเลย ว่า อาการของผมเป็น 1-5 นาทีต่อครั้งเป็นอย่างมาก และไม่แน่นอน ในการที่ผมจะเป็นแล้วรีบขับรถมาหาหมอท่านนั้น เป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะ อย่างเร็วที่สุด จากบ้านผมไปหาโรงพยาบาล ก็ต้องใช้เวลา 15 นาที และอาจจะเป็นเวลาที่หมอไม่อยู่โรงพยาบาล หรือติดคนไข้อื่นอยู่ก็ได้ และถ้าอาการหายไปแล้ว หมอท่านนี้ก็จะไม่รับตรวจอีก

ผมเลยถอดใจ ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม ถ้าจะตายก็คงต้องยอมตาย จะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที เพราะหมอท่านนี้ก็เป็นระดับอาจารย์โรคหัวใจที่เก่งมากๆ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น จะให้ผมไปหาใครที่เก่งกว่านี้ก็คงจะยาก อยู่เฉยๆดีกว่า

------------------------------------------

อีกหลายปีต่อมา โรคนี้ก็มิได้รุนแรงมากขึ้น เป็นเหมือนๆเดิม ผมก็พยายามที่จะไม่กังวลกับมัน ถ้าจะตายก็ตาย ปล่อยไปเลย

จนกระทั่งวันหนึ่ง ประมาณ ปี 2553 ขณะที่นั่งดูรายการทีวี ที่จัดทีม นศ. แพทย์ให้มาทายปัญหาโรคต่างออกอากาศ เพื่อชิงรางวัลการกุศลอะไรสักอย่าง และขณะนั้นลูกสาวก็กำลังเรียนแพทย์อยู่ชั้นปีที่ 5 มีการนำโรคนี้มาทาย และลูกสาวผมทายได้ก่อน นศ. แพทย์ทางทีวีด้วยซ้ำ ผมก็เลยได้เรียนรู้ ในขณะนั้น ว่า...ผมมิได้เป็นโรคหัวใจ แต่แค่โรค กรดไหลย้อน Gastroesophageal Reflux Disease (GERD) เท่านั้นเอง

----------------------------------------------

ผมก็เลยรีบกลับมาเรียนรู้ว่าโรคนี้คือ อะไร สาเหตุ (สมุทัย) มาจากอะไร

ที่ก็แค่ มีกรดในกระเพาะ และกรดไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร จากการที่ปากรูหลอดอาหารปิดไม่สนิท เท่านั้นเอง

พอรู้ปัญหาจริงๆ เท่านั้นเอง ผมก็หาวิธีลดอาการนี้อย่างทันที (นิโรธ)

ที่พอคิดออก (มรรค) มี 3 ข้อ คือ

ขั้นที่ 1 พอจะเริ่มมีอาการจุกเสียด ผมรีบเลียนแบบการทำ Reflux ในงานห้องปฏิบัติการที่ผมทำในมหาวิทยาลัย โดยการค่อยๆ “จิบน้ำ” เบาๆ ไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เริ่มมีอาการจุกเสียด เพื่อล้างกรดที่ทะลักขึ้นมาในหลอดอาหาร ให้ไหลกลับไปลงกระเพราะและลำไส้

ขั้นที่ 2 ผมทำตามคำแนะนำของลูกสาว ว่า สาเหตุมาจากความเครียด และการมีกรดมากในกระเพราะ ผมก็ระวังไม่ให้ตัวเองเครียด ด้วยการปล่อยวางทุกเรื่องที่จะทำให้ตัวเองเครียด พอมีอะไรจะกระตุ้นความเครียด ก็รีบปล่อยวางทันที

ขั้นที่ 3 จากการเรียนรู้เรื่องนี้ ว่า สาเหตุมาจาก “การมีกรด หรือน้ำย่อย” ในกระเพาะอาหาร ผมจึงกลับไปทบทวนหลักวิชาชีววิทยาว่า ความหิว คือต้นเหตุ เราต้องกำจัดความหิว และต้นเหตุของความหิว ซึ่งที่แท้จริงก็มาจากความที่เราไม่รู้ว่า ร่างกายยังมีอาหารสะสมอยู่มากมาย การหิวเป็นแค่การทำงานตาม “สัญญา” ของระบบกระเพาะอาหาร แต่เราก็ต้องหมั่นตรวจสอบว่าร่างกายขาดอาหารจริงหรือไม่ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในทางตรงกันข้าม คือการขาดอาหาร

ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมเริ่มมีอาการ “หิว” ผมจะพิจารณาจากจำนวนอาหารสำรองว่า ร่างกายของผมนั้น “หิวจริง” หรือ “หิวปลอม” ที่พบว่า ส่วนใหญ่ แค่ หิวปลอม ผมก็ไม่พยายามตามใจ กระเพาะอาหาร ร่างกายที่พยายามจะหลอกผม จนมันคงเบื่อ และเลิกแกล้งผมไปเอง คือ มีอาการหิวน้อยลงๆๆๆ จนไม่ค่อยมีอาการหิวอีก และผมก็หันมาใช้สมอง และความรู้ในการควบคุมการบริโภคอาหาร แทนการปล่อยให้ระบบกระเพาะอาหารตัดสินแทนตัวเรา หรือ ไม่ตามใจนาฬิกา หรือ ความสูงของดวงอาทิตย์(บนท้องฟ้า...คือ เวลาของวัน) ทานเวลาไหนก็ได้ ตามความสะดวก และความจำเป็นของร่างกาย ด้วยความรู้ และสติ

พอทำได้ทางออก (มรรค) สองสามข้อนี้ได้แล้ว ข้อที่ 1 แทบไม่ได้ทำเลย

มีเหลือข้อ 3 ที่ทำมากที่สุด คือ กำจัดความหิว และหมั่นตรวจตราว่าร่างกายขณะต้องการอะไร ขาดอะไร และมีอะไรเกินไปหรือเปล่า ด้วยหลักชีววิทยา และธรรมชาติวิทยา

รองลงมาก็ข้อ 2 หมั่นตรวจตราระบบความคิด ทำสมาธิ มีสติ เพื่อทำให้ตัวเองไม่เครียด ไม่วิตกกังวล ด้วยการมั่นศึกษาธรรมะ ทุกระดับ ที่พอเรียนได้ เข้าใจได้ จึงทำให้จิตสงบมากขึ้นๆๆๆ เรื่อยๆ

จนในที่สุด ข้อ 1 การจิบน้ำลดกรด ก็เลยไม่ได้ทำ แต่ก็เป็นเป็นมาตรการสูงสุดของผมในปัจจุบัน เพื่อลดปัญหาของโรคนี้ครับ

ส่วนคำแนะนำทางด้านการแพทย์ ให้กินยารักษาโรคสารพัดชนิดนั้น ผมยังเห็นว่าเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ และไม่มีความจำเป็นในขณะนี้ ที่ผมยังคิดว่า การแก้ไขที่ต้นเหตุน่าจะดีกว่า และถ้าเป็นไปได้ การแก้ที่ต้นเหตุ แบบต้นๆๆๆๆ เหตุ น่าจะดีที่สุด ก็คือ อวิชชา 8 นั่นเอง

นี่คือหลัก 3 ข้อ ของผม ในการลดปัญหาโรคกรดไหลย้อน และสามารถทำให้เกิดระบบการวางแผนการควบคุมน้ำหนัก โรคอ้วน การบริโภคเกินความจำเป็น การใช้เวลากับการกินอาหารมากเกินความจำเป็น และโรคกระเพาะได้อีกด้วย

ตามหลัก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ระดับปุถุชนขั้นต้น

ผมคิดอย่างนี้ และทำอย่างนี้ จนได้ผล จึงนำมาบอกต่อครับ

อิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิ

หมายเลขบันทึก: 593528เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2015 11:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม 2015 11:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อาจารย์ทำถูกที่สุดเลยค่ะ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายนั้นท่านได้ชื่อมาจากการดูแลรักษาคนไข้มามากๆ แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็นเคสที่เหมือนกับที่ท่านเคยพบเจอ เพราะฉะนั้น เราเองนี่แหละค่ะคือหมอที่ดีที่สุดของตัวเอง อาจจะต้องเสียเวลาหาความรู้เพิ่มเติมหน่อย และปรึกษาในบางเรื่องที่ลึกจริงๆแต่ก็ต้องถามให้เป็นอีกเหมือนกัน หมอบางคนก็ไม่ยินดีที่จะช่วยเราคิดหรอกค่ะ การแก้ปัญหาสุขภาพที่ต้นเหตุนี่แหละค่ะถูกที่สุดแล้ว ถ้ามัวแต่แก้ตามอาการก็เป็นวัวกินหางอยู่อย่างนั้น อ่านแล้วก็อยากให้ความตื่นรู้แบบนี้เกิดกับทุกคนจังนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท