บางครั้งเราอาจเจอจิ๊กซอว์บางชิ้นด้วยความบังเอิญ...........................
ภายหลังจากการเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ ทำให้การกลับไปทำงาน ของคนบางคนดูจะยากมากขึ้น ทั้งเรื่องการยอมรับจากสิ่งแวดล้อมภายนอกหรือแม้กระทั่งภายในตัวตนของบุคคลนั้นๆ แม้กระทั่งจากการบอกเล่า ของผู้ที่ทำงานกับผู้พิการที่ได้เล่าให้ดิฉันฟังว่าเขา “ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เขากลับมามีแรงจูงใจในการทำงาน”
ดิฉันสนใจเรื่องการจะทำอย่างไรให้ผู้ป่วยที่มารับการบริการทางกิจกรรมบำบัดที่ตนเองดูแลอยู่ อยู่อย่างไร ได้เต็มศักยภาพ ขอเล่ากรณีศึกษาที่ดูแลกันมาประมาณหนึ่งปี ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้พิการทางร่างกาย แต่เคสนี้ก่อให้เกิดไอเดียดีๆ เขาเป็นบุคคลออทิสติก วัยรุ่น ที่ดูวุฒิภาวะน้อยกว่าวัย ยังดูเหมือนเด็กๆ ยังเล่นมือ ถามตอบไม่ตรงประเด็น ทักษะทางสังคมบางอย่างเช่น การรับประทานอาหารยังต้องฝึกฝน เพราะมีเขาในวงทานอาหารของครอบครัวเมื่อไหร่ จะรีบทาน จนไอเสียงดัง รับประทานเสียงดัง แย่งอาหารน้องๆทาน(ทานไวกว่า) จนอดไปทานอาหารบุฟเฟต์ญี่ปุ่นกับครอบครัวนอกบ้าน ขาดการฝึกทักษะชีวิต รู้จักวัตถุสิ่งรอบตัวน้อยมาก เพราะเวลาแม่ใช้ให้ไปหยิบของจะบอกเขาว่า ไปหยิบอันนั้นมาแทนที่จะบอกว่าไปหยิบจานมา ใช้เงินไม่เป็น ..... แต่ปัจจุบันเขาเปลี่ยนไป เพราะคุณแม่ที่เป็นทีมงานเดียวกันกับนักกิจกรรมบำบัด ช่วยกันดูแลน้องเสียใหม่ ตอนนี้เขามีหน้าที่เพิ่มขึ้น คือนำผ้าไปซัก รวมถึงผ้าที่ร้านทำผมกิจการของครอบครัว รับผิดชอบงานบ้านแทนแม่ แม่บอกสบายจนน้องๆจะเคยตัว ด้วยความที่ไม่ค่อยยืดหยุ่น เห็นใครนำผ้าใส่ตะกร้า และถึงคิวต้องซักก็จะรีบหยิบไปใส่เครื่องซัก รวมถึงทักษะอื่นๆที่ค่อยๆพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ....เล่าเสียยาว สำหรับกรณีศึกษานี้ดิฉันสนใจว่าในระยะยาวเขาจะหางานทำมีรายได้ได้อย่างไรนอกจากทำงานที่บ้านค่ะ
มีโอกาสได้มาเจอ คุณรี่ ที่ มจร.(มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) จากการร่วมเสวนาระหว่างกระบวนกร ระหว่างพัก เธอเดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทีเป็นมิตร เธอแนะนำตัวว่าทำงานกับผู้พิการ เกี่ยวกับการฝึกอาชีพ พร้อมถามคำถามนำ ....“อาจารย์ถ้าผู้พิการเขาขาดแรงจูงใจเราต้องทำอย่างไร? แล้วกิจกรรมบำบัดนี่จะช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่าคะ?” ฟังเพลินๆ ไปมา เกิดความรู้สึกว่าโชคดี ว่าเราบังเอิญมาเจอแหล่งที่เขาทำ work rehab. เข้าแล้ว
หลังจากวันนั้น อ.ป๊อบชวนให้คิดต่อว่าในรายวิชาที่พวกเราสอน สามารถนำไปช่วยเหลือเขาได้เลย จึงได้ทำการนัดหมายคุณรี่ และจะได้มีโอกาสนำนักศึกษาไปฝึกปฏิบัติ ในภาคเรียนนี้
การพัฒนาการทำงานร่วมกันระหว่างนักกิจกรรมบำบัด ผู้ดูแลผู้พิการ ผู้พิการและนายจ้าง ใน 3 ระยะ มีดังนี้
ระยะแรก นักกิจกรรมบำบัดมีบทบาทในการขับเคลื่อนหรือเป็น Facilitator เพื่อสื่อสาร สนับสนุนและสอนให้ผู้ดูแลนำเทคนิคต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษา การสร้างแรงจูงใจหรือเทคนิคอื่นๆ ไปใช้ ทำหน้าที่เป็นโค้ชให้กับผู้ดูแลเพื่อให้ไปทำงานกับผู้พิการ จนผู้พิการสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสามารถทำงานได้
การทำงานกับผู้พิการ นักกิจกรรมบำบัดมีหน้าที่ในการประเมินงาน(work assessment)ที่เขาสนใจ พัฒนาความสามารถ(performance) และฝึกทักษะ(skill)ในการทำงาน โดยใช้ cognitive training supported employment program ซึ่งต้องทำการวิจัยและสร้างโปรแกรมนี้ต่อในอนาคต
สำหรับระยะที่สอง นักกิจกรรมบำบัดมีหน้าที่ในการจัดโอกาสเพื่อทำให้เกิดชุมชนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (CoP) ให้เกิดการสร้างเครือข่ายร่วมกัน ก่อให้เกิดแหล่งทุนทางปัญญาจากการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน มีการปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีเครือข่ายในการทำงานเกิดขึ้น
ระยะสุดท้าย จะก่อให้เกิดการทำงานในรูปแบบ Social enterprise จากการที่ทุกฝ่ายมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ จนก่อให้เกิดการทำงานและการพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างประโยชน์ เช่น ต้นทุนทางปัญญา โอกาส สังคมการทำงานและ มีเงินทุนหมุนเวียน สร้างแรงบันดาลใจและเป็นต้นแบบที่ดีในการวางรากฐาน Supported employment ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน
เขียนเกือบจบแล้วตระหนักต่อ ว่าฝันได้ แต่ต้องลงมือทำ เพราะมันใช้เวลา
เป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้และเสียสละมาก
อาจารย์หายไปนานเลยครับ
ขอบคุณ และสวัสดีค่ะ อ.ขจิต สะบายดีนะคะ :) แอนหายไปนานมากจริงๆค่า :)