"คิดจากฟ้า ปัญญาจากดิน"



๑) คิดจากดาราศาสตร์ (ฟ้า)

มองท้องฟ้า คราใด ได้คำถาม

ฟ้าสีคราม สีน้ำเงิน ดูเพลินฝัน

เห็นอาทิตย์ ผลิตแสง แหล่งชีวัน

ทิวากาล มีม่านมืด ดาวยึดครอง

บนท้องฟ้า นภากาศ ขนาดไหน

เราเห็นได้ แค่เมฆา นกการ้อง

เห็นอาทิตย์ นิจนิรันดร์ ผ่านการมอง

ยินฟ้าร้อง เมฆฝน น้ำหล่นมา

ยามค่ำคืน รื่นเริง กระเจิงจิต

ฟ้ามืดมิด พิจดวงดาว พราวฟากฟ้า

เสมือนผี มีฤทธิ์ มหิทธา

เป็นปริศนา ให้ท้าถาม ยามราตรี

ช่วงเต็มวัน ฉันไม่เห็น เธอเด่นแสง

เธอทำแสร้ง แกล้งฉัน กลางวันหนี

พอมืดค่ำ ดำมืด ยึดราตรี

กลับมีสี มีแสง แสดงตน

อีกจันทรา หน้าเบี้ยว เป็นเสี้ยวโค้ง

หน้าตรงๆ เต็มตัว เพียงชั่วหน

ไม่นานนัก มักจะเปลี่ยน เป็นเวียนวน

เหมือนมีมนต์ ให้คนหลง และงงงวย

ดั่งท้องฟ้า เป็นนาคิด ปริศนา

เมื่อมองฟ้า ตาพุ่ง ปรุงคิดสวย

จินตนาการ ผ่านสายตา ฟ้าอำนวย

ขี่กระสวย ไปช่วยเทพ เก็บดวงดาว

เห็นภาพฟ้า อวกาศ ดาวดาษดื่น

มีมวลคลื่น หมื่นแสนล้าน กันเป็นเผ่า

กาแล็กซี่ สุริยะ เคหะดาว

จักรวาลเจ้า เหล่าเค้ากอ ก่อ-นภา

สะท้อนกฎ บทว่า ท้องฟ้าว่าง

ไร้ที่ตั้ง วางฐาน อันแน่นหนา

มีสสาร วัตถุ ธุลีธารา

อีกดารา มหาศาล ไม่หวั่นเต็ม

เป็นแดนลอย ปล่อยพลัง สร้างแรงดูด

สร้างแรงฉุด แรงผลัก อันหนักเข้ม

จากระเบิด เกิดบิ๊กแบง แรงดั่งเกม

ไล่ลามเล็ม เกมยืดยื้อ เป็นเชื้อวัฏฏ์

สนามแข่ง อันแรงเร้า ที่เปล่ามืด

จนพุ่งยึด ตึดกัน สะบั้นขาด

กลายเป็นไฟ ไหลเป็นก้อน สัญจรพัด

แรงบีบอัด พัดลอย-วน จนเกลี้ยงกลม

นั่นคือฐาน กาลเกิด เปิดนักษัตร

ที่วนวัฏ วกวน จนเหมาะสม

เกิดดวงดาว สุริยะ คมนาคม

นี่คือปม ที่ชมฟ้า วิทยาการ

ฉันได้ยิน ถิ่นโลก เขาถกเถียง

มีวังเวียง เคียงคู่ฟ้า น่าสุขสันต์

เป็นแดนเด่น เย็นใจ ไปนิรันดร์

คือสวรรค์ ชั้นฟ้า นภางาม

เส้นทางคน บนดิน เมื่อสิ้นชีพ

มีดวงทิพย์ นำพา ไปหาถ้ำ(นรก)

หากทำดี มีเทวา ไปหากาม

เพื่อดื่มด่ำ กามวิสัย ในสวรรค์

บ้างเชื่อว่า มีพระเจ้า รอเราอยู่

เพื่อไปสู่ แดนพระองค์ ประสงค์สันต์

อาณาจักร เทพเจ้า เนานิรันดร์

แดนสวรรค์ บนชั้นฟ้า นภาไกล

เอเชียเผ่า เหล่ากอ ยอทั่วถิ่น

ฉันได้ยิน จีนเชื่อ เหลือวิสัย

ฝากโชคเชื้อ เครือชะตา ฟ้านำไป

ยอมรับใน สวรรค์สั่ง อย่างดุษฎี

สรรพสิ่ง เหมือนอิงฟ้า ดั่งตาเห็น

ทุกเช้าเย็น เราเห็นแสง แห่งวิถี

ฝนตกพร่ำ ต้องทำงาน ท่านปราณี

มีชีวี มีฟ้าคิด ลิขิตเรา

อำนาจคน บนโลก จะโศก-สุข

จะผิดถูก มีฟลุคโชค หรือโรคเร้า

อยู่ที่ฟ้า กำหนด บทบาทเรา

ฟ้าคือเจ้า เหล่าแรงดล คนโลกา

แต่เราเชื่อ เนื้อสมอง ของเราคิด

เชื่อในสิทธิ ในฤทธา ปัญญาหนา

เชื่อในกรรม ทำในจิต ลิขิตมา

สิ้นชีวา ฟ้าโอบกอด ยอดสูญโญ

มองเห็นราก หลักคิด ชีวิตนี้

เพราะเรามี สายตา ฟ้าเป็นโถ

ที่จุทัศน์ พัฒนา ให้ตาโต

มองเห็นโซ่ เซลล์ปัญญา มหาคุณ


๒) ปัญญาจากปฐพี

โลกคือดิน ให้อินทรีย์ มีกายเกิด

กายกำเนิด เกิดประสาท ศาสตร์เกื้อหนุน

ตาหูลิ้น อินทรีย์ ที่กายคุณ

คือกองทุน หนุนชีวิต เป็นมิตรกัน

อวัยวะ น้อยใหญ่ ทั้งหลายแหล่

ล้วนมีแต่ แผ่เผื่อ จุนเจือสาน

ไม่แยกมิตร กิจที่ทำ ไม่ล้ำกัน

แต่ประสาน งานประสม อย่างกกลมกลืน

มือเท้าตัว เป็นหัวใจ ในการก้าว

ตาเป็นดาว สาวสาง ทางไม่ลื่น

เป็นที่ตั้ง สร้างตำแหน่ง แหล่งจุดยืน

เป็นผู้ตื่น หลังหลับ ขยับตา

มือที่ทำ เท้าที่ทุ่ม ตาคุมไว้

สมองได้ ทิศทาง จึงวางท่า

เกิดเป็นผล สัมฤทธิ์ มีอิทธา

เราเรียกว่า เรียนรู้ อยู่ในกาย

กายเหมือนดิน ชิ้นใหญ่ ในชีพนี้

เป็นพื้นที่ รองรับ ทรัพย์ทั้งหลาย

ดินคือแดน แก่นเกิด กำเนิดไพร

กายคือสาย ให้กำนิด เกิดจิตกรรม

กายคืออู่ คูหา พญาช้าง

ที่คอยนั่ง สั่งบัญชา อย่าถลำ

เชื่อใจสั่ง ฟังกายสร้าง กำลังทำ

มีหลักธรรม ประจำหลัก ไม่หลักลอย

เมื่อกายใจ ไปด้วยกัน ธรรมสานสร้าง

เหมือนมีผัง ตั้งฐานดี ไม่มีด้อย

กายหนักแน่น แกนจิต ก็ไม่ลอย

ที่จะถอย ตามรอยกาล มาผลาญกาย

ดินที่ดี มีศักย์ ให้ผักพืช

ช่วยเร่งยืด แตกยอด ทอดดอกไม้

กายที่ดี มีคุณ หนุนจิตใจ

จิตไม่ไหว ใจไม่แกว่ง แรงคมคิด

ดินอุ้มน้ำ ยามฝน หล่นจากฟ้า

ให้ท่วมนา แอ่งหนอง คลองสถิตย์

เป็นที่พึ่ง อึ่งกบ สยบพิศ

แหล่งชีวิต มิตรนานา ทั้งป่าไพร

ดินที่ดี มีคุณ หนุนทุนทรัพย์

แหล่งรองรับ กายวิถี ชีวีได้

ดินอุดม บ่มสัตว์ ให้พัฒน์ไว

ป่าต้นไม้ ให้อากาศ ปราศโรคา

ดินคือบ้าน ด่านดง พงอากาศ

โลกจะขาด อากาศไป ไม่ได้หนา

ดินปลูกพืช ยึดหน้าดิน ไม่สิ้นนา

เหมือนกายา เป็นแดนดิน ให้จินตนาการ

เมื่อกายดี ฤดีพร้อม หลอมให้แน่น

จะเป็นแดน ให้แก่นคิด จิตมหันต์

เข้าถึงแก่น แดนแจ้ง แทงอุรัน

เพราะกายนั้น เป็นฐานสู่ ครูมุนี

เมื่อดินเสื่อม สิ้นศักย์ ต้องรักษา

พืชและหญ้า ปลาหนอง คงต้องหนี

โลกคงแห้ง แล้งน้ำ ฉ่ำวารี

เหมือนกายี ไม่มีศักย์ จักโรยรา

กายของเรา ก็เท่าดิน อินทรีย์ธาตุ

ถ้ามันขาด ปราศวารี ไม่มีท่า

ดั่งกายขาด ปราศจิตใจ ไร้ราคา

ดินแห้งหน้า กายาแห้งใจ ไร้จิตวิญญาณ

ดังนั้นแล แม่ฟ้า รักษาโลก

ดินฉ่ำโชก ดกป่า และอาหาร

กายอยู่ยั้ง ตั้งอยู่ ตามลู่กาล

จิตสัมพันธ์ ปัญญาศักย์ จักเห็นจริง

สรรพสิ่ง อิงโอบ ซบ-กก-กอด

มันทอทอด ยอดปลาย ไว้ทุกสิ่ง

มันเชื่อมโยง ลงตัว เป็นขั้วพิง

ไม่ทอดทิ้ง กิ่งใบก้าน ประสานเครือ

เข้าใจได้ เข้าถึงซึ้ง ดึงมาเชื่อม

ไม่หล่ำเลื้อม เหลื่อมหลาก ถักไม่เหลือ

ฟ้าจรดดิน ดินยิลน้ำ น้ำจุนเจือ

ที่แผ่เผื่อ ไปเจือป่า ชีวาเรา

ฟ้าและดิน อินทรีย์ มีกรอบกฎ

ที่กำหนด บทลง ที่ตรงเผา

หากโลกกาย สูญสิ้น อินทรีย์เรา

จะวิ่งเข้า ที่เปล่าว่าง "ทางศูนยตา"

ฟ้ากำหนด บทย้ำ ธรรมชาติ

ดินช่วยดัด รองรับ ปรับรักษา

สรรพสิ่ง พิงพัก หลักอนิจจา

มีปัญญา จากฟ้าดิน ก่อนสิ้นเอย


----------------๑๕/๗/๕๘--------------

หมายเลขบันทึก: 592400เขียนเมื่อ 15 กรกฎาคม 2015 00:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม 2015 06:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ธรรมชาติ สัจธรรม นำให้คิด

ความจริงของ ชีวิต ไม่ผิดผัน

ไร้เที่ยงแท้ แน่นอน ในชีวัน

อย่ายึดมั่น ถือมั่น ในอัตตา

........................................

ขอบคุณมากมาย ที่ท่านให้เกียรติ

ไปทักทายและให้กำลังใจคุณมะเดื่อจ้ะ

มีดอกไม้มามอบเป็นเกียรติแด่..ท่าน กวี..เจ้าค่ะ...

ขอบคุณ คุณมะเดื่อครับ และขอบคุณคุณยายครับ ขอให้สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ

"คิดจากฟ้า ปัญญาจากดิน"...

ชอบจังเลยค่ะ .... เอาดอก ดาวดึง มาฝากค่ะ

เขียนคำไพเราะไม่เป็นค่ะ

แต่ชอบอ่าน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท