โครงการประชุมสัมมนาเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชื่อมโยงการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวทางทะเล

โครงการประชุมสัมมนาเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชื่อมโยงการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวทางทะเล ภายใต้แผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ IMT-GT สู่ประชาคมอาเซียน ระหว่าง 3-4 กรกฎาคม 2558 ณ โรงแรมป่าตองรีสอร์ท ภูเก็ต พูดคุยกันเรื่องเรือสำราญ กับเรือยอช์ท ในด้านเรือสำราญมีสองส่วน 1.ส่วนแรกจะเริ่มจากการวางแผนตารางการเดินเรือสำราญ การตรวจสอบดูท่าเรือ และการดูความปลอดภัยของท่าเรือ ผู้โดยสารทั้งโลกในการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญทั่วโลกในปี 2015 จำนวน 22.3 ล้านคน เป็นสัดส่วนของคนในเอเชีย 8.5% ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 2.08% คิดเป็นจำนวน 459,551 คน ความจุของเรือต่อลำตั้งแต่สองพันคน ถึง ห้าพันคน 2.ส่วนที่สองจะรับช่วงจากส่วนแรกคือดูแลนักท่องเที่ยวเมื่อเรือแตะท่า ดูแลเรือแตะท่า และดูแลนักท่องเที่ยวโดยรับส่งคนโดยสารทุกคน ผู้โดยสารของเรือสำราญที่เข้ามาในน่านน้ำแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ 1.TRASIT เป็นการแวะเข้ามา(ไทยมีท่าเรือ 5 ท่า ท่าเรือคลองเตย ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือป่าตอง ภูเก็ต ท่าเรือกระบี่ และท่าเรือเกาะสมุย ผู้โดยสารเข้ามา 294 เที่ยวในปี 2015 ประเภทที่ 2. TURNAROUND เป็นการแวะเข้ามาเพื่อเปลี่ยนเป็นบินกลับประเทศตัวเอง ผู้โดยสารอาจแวะเที่ยวไทยอีก 2-3 คืน บางคนบินต่อไปเที่ยวพม่าหรือนครวัด นครธม ประภทนี้เข้าไทย ในปี 2015 จำนวน 12 เที่ยว(เป็นความใฝ่ฝันของผู้ประกอบการที่อยากจะได้มากขึ้นโดยชัยภูมิของประเทศ รัฐไทยต้องส่งเสริมอย่างจริงจัง) ประเภทที่ 3. OVERNIGHT ประเภทนี้เข้ามาพักค้างคืนขึ้นบกเพื่อท่องเที่ยวตามระยะเวลาที่เรือจอดแต่กลับไปค้างคืนบนเรือ ประเภทนี้ในปี 2015 จำนวนเรือ 71 เที่ยว ส่วนในด้านเรือยอช์ท เข้ามาจอดเพื่อตบแต่งหรือซ่อมแซมเรือ โดยที่เป็นที่ยอมรับว่าประเทศไทยช่างฝีมือในการตบแต่งซ่อมแซมเรือเป็นที่ยอมรับว่าเนี้ยบ ติดระดับโลก ณ วันนี้ถึงขั้นต่อเรือยอช์ทเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ติดขัดก็คือด้านข้อกฎหมายเดินเรือไทยที่ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.2481 ซึ่งไม่ทันสมัยและทันเหตุการณ์ รวมถึงเรือยอช์ทลำหนึ่งเข้ามามีหน่วยราชการรับผิดชอบ 1.กรมเจ้าท่า 2.กรมศุลกากร 3.ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งสังกัดคนละกระทรวง ต่างคนต่างถือกฎหมายคนละฉบับ เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการขยายความเจริญเติบโตทางธุรกิจ การส้มมนารอบนี้กระทรวงมหาดไทยจะนำเสนอตรงถึงนายกรัฐมนตรี เป็นการสัมมนาที่ได้รับประโยชน์มากทีเดียว