สวดมนต์อย่างไรให้เกิดปัญญา


เชื่อว่าหลายท่านที่สวดมนต์เป็นประจำคงเคยมีประสบการณ์ปากสวดไปใจก็ออกไปเที่ยวใช่ไหมคะ? ช่างแตกต่างจากตอนที่ยังสวดไม่เป็นมากมาย ตอนยังจำคำบาลีไม่ได้ สติและสมาธิจะไม่ตกเพราะต้องตั้งใจอ่านให้ถูกต้อง แต่พอจำบทสวดได้คล่อง ไฉนสติดันมีโอกาสเล็ดลอดลอยหายไปกับความคิด

นั่นเป็นเพราะส่วนใหญ่คนเราจะสวดมนต์เพราะความศรัทธาล้วนๆ แต่วันนี้ดิฉันเพิ่งได้พบผลลัพธ์ทางปัญญาจากการมีความเพียรในการเพิ่มสติและมีสมาธิตามติดเสียงสวดของเราเอง ปิ๊งเลยค่ะ เจอแล้ววิธีการสวดมนต์โดยใช้ MTHAI Model ของไทยโค้ช จะใช้ยังไง? และเกิดความมหัศจรรย์ระดับ Super Conscious อย่างไร? ขอให้ติดตามอ่านต่อๆไปนะคะ

สั่งตัวเอง ก่อนอื่นขอแนะวิธีที่จะทำให้สติอยู่กับเสียงสวดและเกิดสมาธิได้ง่ายๆ คือ ก่อนสวดมนต์ทุกครั้ง ให้กำหนดจิตตามลมหายใจเข้าออกลึกๆซัก 2-3 ครั้ง แล้วสั่งตัวเองว่า “ต่อไปนี้จิตของข้าพเจ้าจะอยู่กับเสียงสวดมนต์เท่านั้น” หรือจะใช้ข้อความที่คุณดังตฤนเคยแนะนำไว้ในหนังสือ “เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน” ว่า “ข้าพเจ้าขอถวายแก้วเสียงแด่พระรัตนตรัย” เป็นต้น การสั่งจิตตัวเองแบบนี้ช่วยให้สติอยู่กับเสียงสวดของเราได้อย่างสม่ำเสมอ แรกๆอาจมีหลุดออกไปบ้างไม่เป็นไรค่ะ แต่ต่อๆไปสติจะกลับมาอยู่กับเสียงได้เร็วขึ้น

เลือกบทสวดมนต์ที่สอนข้อธรรม และมีคำแปลภาษาไทย แนะนำให้เลือกบทสวดมนต์ที่สอนข้อธรรมต่างๆ เช่น พุทธชัยมังคลคาถา มังคลปริตร เป็นต้น และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสวดทั้งภาษาบาลีและภาษาไทย

โดยส่วนตัวแล้วจะเลือกสวดพระธรรมจักร บอกตามตรงค่ะ เหตุผลคือลืมบ่อยมากกกกกก ว่าอริยสัจ 4 ประกอบด้วยอะไร ดิฉันก็เหมือนหลายๆท่านที่เรียนวิชาพระพุทธศาสนาที่โรงเรียนมา ก็ได้แต่ท่องจำ และทำเพื่อคะแนน ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ทั้งๆที่เป็นข้อธรรมที่ทำให้เราๆท่านๆพ้นทุกข์ เลยต้องการ Challenge ตัวเองได้ซึมลึกในอริยสัจ 4 ด้วยการเพิ่ม Skill ในสวดพระธรรมจักรสัปดาห์ละครั้ง สวดมาเกือบปีก็จำได้นะคะ รู้นะคะ แต่ยังไม่ซึมลึก ถ้าเปรียบเป็นดอกบัวของ Lotus Model ตัวเองคงอยู่แค่บัวตูมใต้น้ำ แต่การเปลี่ยนแปลงทางปัญญาเกิดขึ้นหลังจากที่โชคดีได้เรียนศาสตร์การโค้ช และโคตรซูเปอร์โชคดีที่ได้เริ่มต้นที่ไทยโค้ช (Thai Coach) ไม่คิดเลยว่าหลังได้เรียนโมเดลการโค้ชวิถีไทยแบบต่างๆมาแล้ว กลับมาสวดมนต์แปลจะทำให้เกิดปัญญาได้กระจ่างแจ้งกลางใจ ดอกบัวทางปัญญาพุ่งปรี๊ดขึ้นเหนือน้ำและบานออกในค่ำคืนเดียว

มหัศจรรย์พันลึก หลายๆท่านที่เคยสวดบทนี้คงเข้าใจดีถึงความยาว และข้อความซ้ำๆ ยิ่งสวดพร้อมคำแปล ยิ่งยาวขึ้นเป็นสองเท่า แต่ข้อดีคือ ผู้สวดเข้าใจความหมายและเนื้อหาของบทนั้นๆขึ้นใจ อย่างไรก็ดี การสวดคืนวันนั้นเปลี่ยนชีวิตจริงๆ เพราะคืนนั้น ขณะที่สวดด้วยการใช้สติและศรัทธานำ คือตั้งจิตให้จดจ่อกับเสียงตัวเองเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ทำให้เกิดวิริยะและสมาธิ สมดุลย์เต็มจำนวน เห็นไหมคะว่า MTHAI Model มาเลยค่ะ ตอนนี้ขาดเพียงปัญญาที่ยังไล่ไม่ทัน แต่เรื่องน่ามหัศจรรย์คือ จิตที่ฝึกมาดีพอแล้ว (การฝึกสติที่อาจารย์และพี่เลี้ยงไทยโค้ชเคี่ยวเข็ญให้ฝึกๆตลอดหลักสูตร) ทำให้เกิด Super Conscious ซึ่งเติมส่วนปัญญาขึ้นมาให้สมดุลย์โดยไม่ต้องเค้น มาเองเลยค่ะ จิตฉายภาพ ภาพนะคะ! ไม่ใช่ข้อความหรือความเข้าใจให้เห็นว่า AHA! อริยสัจ 4 นี่เองคือ GROW Model (นึกถึงภาพธรรมจักรที่มี 4 ซี่ล้อ หมุนไปนะคะ จะคล้ายภาพ GROW Model มาก) ตอนแรกที่เรียนในคลาสมันไม่ get แบบนี้ อาจารย์ก็บอกว่าคืออริยสัจ 4 ตอนนั้นมัน get ที่สมอง ตอนนี้มันแจ้งจางปางกลางหัวใจ เพราะเห็นภาพเป็นรูปโมเดลออกมาเลยค่ะจากบทสวด

ที่เด็ดคือสวดต่อไป ก็พบแล้วว่า แก่นของการสร้างโมเดลในการโค้ชของไทยโค้ช คือการนำธรรมะ 1 ส่วนมาแกะโมเดลให้เห็นภาพ และเข้าใจง่าย ขออนุญาตตั้งชื่อว่า Dhamma Mind Map ทีนี้เมื่อใช้ภาษาอังกฤษและเลือกอักษรตัวแรกมาตั้งชื่อโมเดล คนทั่วโลกก็จำง่ายกว่าอ่านจากพระไตรปิฎกเล่มหนาปึ่ก นี่เอง...แก่นไทยโค้ช ณ เวลานี้ขออุทานว่า อุบ๊ะ! แทน AHA! เพราะคนไทยหัวใจพุทธมันมีของดีอยู่กับตัวตั้งนาน แต่ดันบินไปวิ่งไล่ตามฝรั่งที่เอาธรรมะไปใส่แพ็คเกจใหม่ให้ดูเทรนดี้บวกไอเดียการตลาดแปลกๆเก๋ๆ แต่ไม่ใช่จะต่อว่ากูรูฝรั่งทุกคนนะคะ เพราะหลายๆท่านก็ให้ Know How ดีๆจากประสบการณ์ตรงของท่านเอง

รู้เช่นนี้ก็ยิ่งนับถือและซาบซึ้งในความทุ่มเทของคณาจารย์ไทยโค้ชค่ะว่า กว่าท่านจะได้โมเดลออกมาให้เราได้เชยชมนอกจากท่านจะต้องแน่นในแก่นธรรมแล้ว ยังต้องรู้รอบในโมเดลอื่นๆของต่างชาติที่มีโอกาสจะเข้ามาท้าทายอีกด้วย ทั้งเวลา ทั้งเงินทอง ทั้งมันสมอง ทั้งสองมือ ลงแรงลงใจลงเวลาพัฒนาโมเดลต่างๆของไทยโค้ชออกมาให้คนเดินดินได้เข้าใจมันไม่ง่ายและเป็นเส้นทางอันยาวไกล ต้องกราบขอขอบพระคุณคณาจารย์และผู้ก่อตั้งทุกท่านที่ทำมรดกอันงดงามทิ้งไว้บนแผ่นดินโลกค่ะ ขอบพระคุณด้วยหัวใจ

สุดท้ายขอจบด้วย Quote ของหลวงพ่อจรัญฯ วัดอัมพวัน ที่เคยส่งต่อๆกันมา ใจความว่า “สวดมนต์คือยาทา วิปัสสนาคือยากิน” และดิฉันขออนุญาตพระเดชพระคุณ ต่อเพิ่มอีกนิดค่ะว่า “สวดมนต์อย่าทำให้ชิน จะได้ทั้งยากินและยาทา”

โค้ชอ๊าท 30 มิถุนายน 2558

ปล.จากโค้ชอ๊าท: บทความนี้ดิฉันไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆจากสถาบันไหนทั้งสิ้น หากแต่เป็นการเขียนจากใจและจากประสบการณ์ตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์เท่านั้น

แหล่งอ้างอิง: www.facebook.com/Thaicoach.in.th

เครดิตภาพ: www.lotus.rmutt.ac.th

หมายเลขบันทึก: 591837เขียนเมื่อ 30 มิถุนายน 2015 17:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 มิถุนายน 2015 17:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท