๒. นำรักน้ำเกลี้ยงผสมสมุก* โดยบดให้เข้ากันจนละเอียด นำไปทาที่พื้นผิว จากนั้นปล่อยทิ้งไว้จนแห้งสนิท
๓. นำหินหรือกระดาษทรายมาขัดผิวให้เรียบเสมอกัน หากยังไม่เรียบให้เอาสมุกที่ ผสมรักน้ำเกลี้ยงมาทาซ้ำ รอแห้ง และขัดซ้ำ
๔. เมื่อทารักและขัดผิวจนได้พื้นผิวที่มีความหนาเหมาะสมแล้ว ให้ทาด้วยรักน้ำเกลี้ยง และนำไปเก็บในที่มิดชิดไม่มีฝุ่นจับได้ จนเมื่อแห้งสนิทนำพื้นผิวนั้นมาเช็ด ปัด ทำความสะอาด และทารักน้ำเกลี้ยงทับ ปล่อยให้แห้งทำเช่นนี้ซ้ำ ๓ ครั้ง จนพื้นรักขึ้นเงาเป็นมัน ที่สำคัญคือรักน้ำเกลี้ยงนั้น ต้องกรองจนไม่มีกากหรือฝุ่นละอองปะปน
๕. เตรียมน้ำยาหรดาลได้แก่หินสีเหลืองที่นำมาบดให้ละเอียด แช่น้ำ ล้างให้สะอาด และนำมาบดรวมกับน้ำส้มป่อย แล้วนำไปตากแดดให้แห้งจากนั้นนำมาใส่น้ำต้มฝักส้มผ่อย บดจนละเอียดแล้วตากแดดอีก ทำเช่นนี้ซ้ำ ๒-๓ ครั้ง จากนั้นนำยางมะขวิดมาแช่น้ำให้ละลาย แล้วนำมาผสมกับหรดาลที่เตรียมไว้จนได้ความเหนียวพอดี คือเมื่อแห้งแล้วเช็ดรักไม่หลุด
๖. ขั้นการเขียนลวดลายในสมัยโบราณ นายช่างจะนำกระดาษข่อยมาร่างตัวลายที่จะเขียน จากนั้นใช้เหล็กแหลมปรุตามเส้นลายที่เขียนไว้ แต่ก่อนที่จะนำกระดาษลายไปทาบพื้นผิวที่จะเขียนนั้น จะต้องนำดินสอพองละลายน้ำมาล้างพื้นผิวเสียก่อนแล้วเช็ดดินสอพองออกให้หมด จึงนำกระดาษปรุลายมาทาบเอาฝุ่นดินสอพองเผาใส่ลูกประคบ นำมาตบบนกระดาษตามรอยปรุ เพื่อให้ฝุ่นนั้นผ่านรูปรุ ไปติดบนพื้นผิวเป็นลวดลาย แล้วจึงม้วนตลบกระดาษลายไว้ด้านบน (เผื่อในกรณีที่ลายที่ตบด้วยฝุ่นไม่ชัดเจนสามารถทาบกระดาษได้ตรงลายเดิม)
๗. นำน้ำยาหรดาลที่เตรียมไว้มาเขียนตามรอยที่ใช้ลูกประคบโรยแบบปรุไว้ และถมช่องไปที่ต้องการให้เห็นพื้นรักสีดำ โดยในการเขียนนั้นต้องมีไม้รองมือ มีลักษณะเป็นไม้ยาว เล็ก หุ้มผ้าที่ปลายมิให้เกิดร่องรอยที่พื้นผิว
๘. เมื่อเขียนเสร็จใช้ผ้านุ่มเช็ดฝุ่นออกแล้วนำผ้าชุบยางรักที่เคี่ยวไฟไว้จนเหนียว นำมาทำการเช็ดรัก คือ เช็ดยางรักลงบนพื้นที่ไม่ได้ลงหรดาล (พื้นที่จะปิดทอง) และเช็ดออกให้เหลือบางที่สุด เรียกว่า การถอนรัก การถอนรักนี้ ต้องอาศัยความชำนาญ หากทำไม่ดีจะทำให้หรดาลไม่หลุดออกในขั้นตอนสุดท้าย
ขั้นตอนการนำน้ำมารด เพื่อล้างน้ำยาหรดาลออก
จนเผยให้เห็นส่วนปิดทองที่ติดแน่นกับพื้นรัก
(ขอขอบคุณ..ที่มา..สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ๙๖ ถนนปรีดี พนมยงค์ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา )
ไม่มีความเห็น