วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๘วันเที่ยวพิพิธภัณฑ์
ในอังกฤษพิพิธภัณฑ์ที่เป็นของรัฐไม่เก็บค่าเข้าชม และเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐ น. ถึงเย็น ๑๗.๔๕ น. และวันศุกร์เปิดถึง ๒๒.๐๐ น. พิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่เรียนรู้อย่างหนึ่งของสังคม
ต่อไปนี้เป็นบันทึกที่ผมเขียนล่วงหน้าก่อนไปเที่ยวจริงๆ
Natural History Museum
นี่คือพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ ผมชอบใจที่ Natural History Museum มีวิสัยทัศน์ “ท้าทายวิธีคิดของผู้คนต่อโลกธรรมชาติ” (We aim to challenge how people think about the natural world - its past, present and future.) จะเห็นว่า เขามุ่งใช้พิพิธภัณฑ์เปลี่ยนความคิดของผู้คน
นอกจากชมสิ่งของที่จัดแสดง และวิธีจัดแสดง ผมสนใจวิธีการจัดการ และกำกับดูแลพิพิธภัณฑ์ จึงค้นและอ่านเว็บไซต์ ส่วนนี้พิพิธภัณฑ์เป็นกิจการที่มีเป้าหมายสร้างสังคมและโลกที่อยู่กันอย่างสันติ ยั่งยืน เป็นองค์กรของรัฐตามกฎหมาย กำกับดูแลโดย Board of Trustee อย่างโปร่งใสเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังจะเห็นว่า เขาเปิดเผยรายงานการประชุม บอร์ด บน เว็บไซต์
จากเว็บไซต์ดังกล่าว ผมเข้าไปอ่านรายงานการประชุมบอร์ดวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ พบว่า การประชุมเป็นมืออาชีพมาก มีคณะกรรมการย่อยของ บอร์ด ครบครัน เขาคิดวางแผนยุทธศาสตร์ ของพิพิธภัณฑ์ไปข้างหน้า ๒๕ ปี และต้องรับมือกับสภาพที่งบประมาณแผ่นดินลดลง โดยการรณรงค์ หาเงินบริจาค ด้วยกิจกรรมที่สาธารณชนเห็นคุณค่า
Victoria and Albert Museum
Victoria and Albert Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะและการออกแบบ จัดแสดงสิ่งของที่มนุษย์ทำขึ้น ผมค้นเว็บไซต์ พบหน้าที่บอกบริการการเรียนรู้แก่โรงเรียน/นักเรียน ที่นี่ จะเห็นว่า ในต่างประเทศพิพิธภัณฑ์ เป็นสถานอำนวยความสะดวกต่อการเรียนแบบ active learning ประเภทหนึ่ง
ข้อความในเอกสารแผ่นพับ Map บอกว่า V&A ทำหน้าที่เป็น “a space for prototyping public life : thinking about how design defines civic identity, technology, security, citizenship, democracy, the public realm and urban experience.” พิพิธภัณฑ์ทำหน้าที่สื่อสารเชิงลึกเพื่อสร้างคุณค่าในสังคม จะเห็นว่า ใน information age พิพิธภัณฑ์ต้องปรับตัว ในการสื่อสารต่อสังคม
ย้ำว่า พิพิธภัณฑ์ไม่ใช่ที่จัดแสดงสิ่งที่ตายตัว แต่เป็นที่สื่อสารสังคม ในเรื่องลึกๆ ที่มาจากการตีความ
ผมจ้องไปชมการจัดแสดงชื่อ ความหรูหราฟุ่มเฟือยคืออะไร (What is luxury?) เขาบอกว่า เขามองไปในอนาคตด้วย
Science Museum
Science Museum ชื่อก็บอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
ต่อไปนี้บันทึกเย็นวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๘ หลังกลับจากไปชม ๓ พิพิธภัณฑ์มาแล้วอย่างคร่าวๆ เพราะหมดแรงทั้งสองคน โดยเฉพาะสาวน้อยต้องนั่งพักอยู่เรื่อย ขนาดเราไม่ดูละเอียด ยังเดินถึง ๑๒ กิโลเมตรในวันนี้ กลับมาถึงโรงแรมราวๆ ๕ โมงเย็น เมื่อยขามาก
เราไปเที่ยวชมทั้งสามพิพิธภัณฑ์ตามลำดับของบันทึกข้างบน ไม่ทราบว่าวันนี้เป็นวันพิเศษอะไร ครูจึงพานักเรียนไปเข้าชมพิพิธภัณฑ์กันมากมาย แน่นขนัดตั้งแต่ขึ้นจากรถใต้ดิน เราตามคนไปจะเข้า Natural History Museum ทางถนน Exhibition แต่ขบวนนักเรียนมากคิวยาว เจ้าหน้าที่จึงแนะให้เดินไปเข้าทางถนน Cromwell
พอเข้าไปก็ขึ้น escalator ไปที่ Earth Zone หรือ Red Zone ให้ผู้ชมได้ตระหนักว่าโลกเป็นหินลูกกลมทึบ (solid) มีส่วนผิวบางๆ เท่านั้นที่เป็นชั้นชีวภาพ มีสิ่งมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดพ่นลาร์วา และแผ่นดินไหว การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เกิดจากความร้อน น้ำ ลม หิมะ กาละอันยาวนาน และสิ่งมีชีวิต สิ่งที่เรามองผิวเผินว่ามั่นคงถาวร เจอปัจจัยบางอย่าง ก็กร่อนหรือเปลี่ยนแปลงรุนแรง ดังเขามีชิ้นหินที่มีรูมากมาย มาให้ดู และอธิบายว่าเกิดจากหอย Lithophaga (แปลว่า “กินหิน”) เกาะและปล่อยกรดออกมาละลายหิน เช่นเดียวกัน ไลเค่น ที่เกาะหิน ก็ปล่อยกรดออกมาละลายหินเช่นเดียวกัน
เขาจัดแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติของโลกเป็นสิ่งไม่คงที่ ไม่ถาวร
สภาพภูมิอากาศของโลกก็เป็นวัฏจักรสลับไปมาระหว่าง Icehouse Phase กับ Greenhouse Phase คือมียุคโลกเย็นกับยุคโลกร้อนสลับกันไปมา
ที่ห้อง Volcanos and Earthquake ผมประทับใจภาพจัดแสดง Superheated, Super-rich แสดงว่า บริเวณพื้นทะเลลึกที่มีช่องปล่อยลาร์วาร้อนออกมา อุณหภูมิกว่าร้อยองศา มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดจำนวน มากมาย ยิ่งร้อน ยิ่งอุดมสิ่งมีชีวิต
เราเดินชมผ่านจากห้อง Volcanos & Earthquake ไปห้อง Earth Treasury (มหาสมบัติในดวงดาว ที่ชื่อโลก) คือแร่ธาตุต่างๆ ที่มีความงามและความคงทน จำพวกเพชรพลอยต่างๆ ไปห้อง From the Beginning ที่แสดงกำเนิดโลก เมื่อ ๔.๕ พันล้านปีมาแล้ว เป็นลูกไฟที่เกิดจากชิ้นส่วนดาวมาชนกันและรวมตัว กัน จนเย็นลง เกิดชั้นบรรยากาศ เกิดน้ำ และสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการเรื่อยมา สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่กัน และกัน จนเมื่อ ๕๔๕ ล้านปีก่อ สิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้นมากมาย ตามด้วยช่วงที่สิ่งมีชีวิตล้มตายจำนวนมาก (Mass Extinction) ๕ ครั้ง เปิดช่องให้มีการก้าวกระโดดของวิวัฒนาการ จน เมื่อ๒.๕ ล้านปีมานี้เองที่มนุษย์ ยุคดึกดำบรรพ์เกิดขึ้น เราเป็นเพียงผู้มาใหม่ในโลกใบนี้
หลังอาหารเที่ยงที่ภัตตาคาร (ซึ่งมีหลายที่ในพิพิธภัณฑ์) เราเไปชม Darwin Centre ที่ Orange Zone ไปเดินใน Cocoon ชมวิธีทำงานของนักวิทยาศาสตร์ เขามีไอเดียดีมาก ที่จัดให้เราเดินผ่านไปเห็นห้อง Lab ที่นักวิทยาศาสตร์เขาทำงานกันจริงๆ อยู่ในตึกที่อยู่ติดกัน และเป็นหน้าต่างกระจก
เราไปที่ Attenborough Studio พบว่าต้องรออีกเป็นชั่วโมงสำหรับฉายหนังรอบต่อไป และผมก็มีหนัง ของท่าน Sir David มากมาย โดยความเอื้อเฟื้อของ อ. หมอปรีดา มาลาสิทธิ์ เราจึงออกไปชม Victoria and Albert Museum (V&A) ต่อไป ท่ามกลางฝนโปรยหยิมๆ
V&A เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะและการออกแบบ เรารี่เข้าไปหยิบ Map เป็นไกด์ของการเข้าชมอย่าง ประหยัดเวลา (และแรงขา) ทุกพิพิธภัณฑ์ไม่เก็บค่าเข้าชม แต่พยายามขอให้คนบริจาค อย่าง Map นี้ เขาพิมพ์ไว้ชัดเจนว่า แนะนำให้บริจาค ๑ ปอนด์
เราไปชมห้องจัดแสดง What is luxury? ซึ่งจัดร่วมกับ Crafts Council เขาเสนอมุมมองต่อ luxury ด้าน กายภาพ (physical), หลักการ (conceptual), และวัฒนธรรม (cultural) สรุปง่ายๆ ว่า ไม่มีนิยาม แน่นอนตายตัว ขึ้นกับมุมมองของแต่ละคน แต่มีคำที่เกี่ยวข้องกับ luxury คือ passion, exclusivity, innovation, extraordinary, non-essential, investment, precision, pleasure, preciousness, expertise, opulence, skill, memory, authenticity, resource, legacy, journey, privacy, access คือ luxury ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของ ที่จับต้องได้ สำหรับผม เวลาที่อยู่กับตัวเอง ถือเป็น luxury ที่ใฝ่หา
ประเด็นที่ถกเถียงกันมากคือ luxury มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ด้านบวกคือมันนำสู่ความริเริ่ม สร้างสรรค์ ด้านลบคือมันนำไปสู่ช่องว่างทางสังคม
มีคนเขียนบันทึกการเข้าชมไว้อย่างดี ที่นี่
จากห้อง Luxury เราเดินไปห้องตรงกันข้าม คือห้อง Medieval & Renaissance ห้อง 50a ที่แปลกใจคือมีที่นอนเอกเขนกให้ชมศิลปวัตถุ
เราน่าจะได้ชมไม่ถึง ๑% ของ V&A ก็ตัดสินใจไปดู Science Museum และหลงทางไปไกล จนได้เข้าไปเยี่ยม Imperial College ที่อยู่ใกล้ๆ
ที่ Science Museum ตรงทางเข้ามีป้าย suggested donation 5 Pounds และมีคนเฝ้าอยู่ทีเดียว เราหา Map แล้วเลือกไปชมนิทรรศการ Information Age ที่บอกเราว่า ที่จริงมันเริ่มมานานตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เขามีส่วนจัดแสดง “กลองพูดได้” (Talking Drum) จาก Cameroon ที่บ้านเราเรียกว่าเกราะ พร้อมไม้ตีสองอัน บอกข่าวไปได้ไกลผ่านการตีเกราะเคาะไม้
แต่ที่เขาจัดแสดง เป็นพัฒนาการของเทคโนโลยีเครือข่าย (Network) ๖ อย่างคือ โทรเลข (The Cable), วิทยุ (The Broadcast), โทรศัพท์บ้าน (The Exchange), ดาวเทียมสื่อสาร (The Constellation), เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (The Web), และ โทรศัพท์เคลื่อนที่ (The Cell) ชีวิตมนุษย์เปลี่ยนไปมากมาย จากพัฒนาการของเทคโนโลยีสื่อสาร ๖ อย่างนี้
ที่ห้อง Information Age นี้ผมติดใจเครื่องคำนวณสมัย ๑๕๐ ปีก่อนหลายเครื่องที่นำมาตั้งแสดง ว่าเป็นของ Charles Babbage รวมทั้งเครื่องส่งวิทยุของ บีบีซี สมัยเกือบร้อยปีก่อน ขนาดใหญ่เต็มห้อง
ต่อจากนั้นเราเลือกไปดู The Science and Art of Medicine ซึ่งจัดแสดงดีมาก แต่เราได้แค่เดินผ่านๆ เท่านั้น รวมทั้งไปดู Glimpses of Medical History ซึ่งก็ดีมากเช่นกัน ห้องจัดแสดงเด่นที่สุดคือห้องผ่าตัด เปิดหัวใจ สาวน้อยบอกว่าเหมือนจริงอย่างกับมีชีวิต เขาเอารูปนี้มาเป็นภาพหน้าเว็บที่ผมลิ้งค์ไว้ให้ ในด้านหนึ่งของห้อง เป็นเรื่องจิตใจและสมอง มีศิลปินวาดรูป What’s in the man’s mind ตามความเป็นของ Sigmund Freud ผมถ่ายรูปมาโดยไม่เห็นเบื้องหลังภาพ มาดูทีหลังจึงเห็นความหมาย จึงเอามาให้ท่านผู้อ่านดูด้วย
พอสมควรแก่เวลา เพราะสี่โมงเย็นแล้ว และสภาพร่างกายก็ถึงขีดจำกัด เราจึงเดินไปขึ้นรถใต้ดิน กลับโรงแรม ตอนนี้ฝนหายและแดดจ้าแล้ว อุณหภูมิประมาณ ๙ ถือเป็นวันที่ได้เรียนรู้มาก พิพิธภัณฑ์ที่ ผมชอบมากที่สุดคือ Natural History Museum อีกสองพิพิธภัณฑ์ชอบพอๆ กัน
วิจารณ์ พานิช
๓๐ เม.ย. ๕๘
ห้อง ๓๐๒ โรงแรม ibis London Shepherd’s Bush
580616, ชีวิตที่พอเพียง, ควงสาวเที่ยวอังกฤษ, UK, tour, ลอนดอน, London, พิพิธภัณฑ์, ลอนดอน-วิจารณ์, อังกฤษ-วิจารณ์, Natural History Museum, Victoria and Albert Museum, อังกฤษ
รูป 580429
ไม่มีความเห็น