Thailand Medical Hub of Asia กับ ความรู้ภาษาอังกฤษของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแบบไทยๆ


Thailand Medical Hub

Thailand Medical Hub of Asia กับ ความรู้ภาษาอังกฤษของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแบบไทยๆ

บุญเตือน วัฒนกุล วท.ม. (สาธารณสุขศาสตร์) [1]
นำพล แดนพิพัฒน์ พบ, วว. ศัลยศาสตร์ทั่วไป [2]

      ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีประชากรจำนวนมากประมาณ 60 % ของประชากรโลก ในปี พ.ศ. 2542 (WHO; 2003)1 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประชากรกว่า 210 ล้านคน (WHO, 1999) อัตราการเพิ่มประชากรในภูมิภาคเอเชียประมาณ 1.3 % ใกล้เคียงกับอัตราการเพิ่มประชากรโลกซึ่งเพิ่มในอัตรา 1.2 % (WHO; 2003)1 การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมเจริญก้าวหน้าอย่างมาก ทำให้สถานะทางเศรษฐกิจดีและมีกำลังซื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้มีความพร้อมด้านเศรษฐกิจ ย่อมมีความต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี ผลที่ตามมาความต้องการในด้านสุขภาพของชาวเอเชียย่อมมากขึ้น การมองหาและเลือกสรรบริการสุขภาพที่ดีมีศักยภาพเพียงพอสำหรับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น                                                              
    ประเทศไทยมีระบบบริการสุขภาพพอเพียง และได้รับการยอมรับจากต่างชาติ จากสถิติในปี 2545 ประเทศไทยมีชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาใช้บริการทางด้านการแพทย์ 630,000 ราย และเพิ่มขึ้นเป็น 973,000 ราย ในปี 2546 (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 54.3%)2 มีผลทำให้ในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยเป็นเงินตราต่างประเทศไหลเวียนเข้ามากว่า 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (คิดเป็นมูลค่า 26,400 ล้านบาท) 2 จากบริการด้านสุขภาพแก่ผู้ป่วยชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยว คาดการณ์ว่าในปี 2553 จะมีผู้ป่วยชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 2,000,000 ราย สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงได้ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์เอเชีย (The Medical Hub of Asia) นับว่าเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พ. ต. อ. ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการสนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนาธุรกิจด้านการบริการสุขภาพสู่มาตรฐานสากล ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยต้องการผู้ร่วมหุ้นชาวต่างชาติเพื่อขยายฐานลูกค้าชาวต่างชาติและต้องการเทคโนโลยีทางสุขภาพมากขึ้น                                                                                
        จากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์     ของภูมิภาคเอเชียทำให้ต้องพัฒนาศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุข นอกจากคำนึงถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่สามารถแข่งขันในระดับภูมิภาค ยังมีปัจจัยอีกด้านหนึ่งที่เรามิอาจมองข้ามความสำคัญไปได้ คือ บุคคลากรระดับรากหญ้า (Health worker personnel) เป็นกลุ่มบุคคลากรที่มีส่วนร่วมอย่างมากในการสร้างกิจกรรมการบริการด้านสุขภาพและสร้างความประทับใจให้ลูกค้า สอดคล้องกับการสนับสนุนจากภาครัฐจัดการด้านการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าจากต่างชาติเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ ส่วนที่เป็นโอกาสพัฒนาของบุคลากรสาธารณสุขคือต้องเตรียมความพร้อมด้านทักษะการสื่อสารกับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษซึ่งภาษากลางสำหรับนานาชาติ แม้ว่าบริการสุขภาพที่ดีมีเอกลักษณ์ไทย บริการด้วยมิตรภาพ และความสุภาพสร้างความประทับใจแก่นานาชาตินับเป็นจุดเด่นของเรา ขณะที่เพื่อนบ้านเราอย่างประเทศสิงคโปร์นั้นเคยเป็นแชมป์ของ Medical Hub of Asia พัฒนาศักยภาพเรื่อยมาและได้รับการร่วมมือจากประเทศสหรัฐอเมริกาในการสร้าง Medical Hub แห่งภูมิภาคเอเชีย 3-5
นั้นเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ เป็นโอกาสในการแข่งขันในตลาดบริการสุขภาพในภูมิภาคที่นอกจากมีจุดแข็งด้านชื่อเสียงของศักยภาพทางการแพทย์ที่มีคุณภาพเป็นที่น่าเชื่อถือ                                               
กลยุทธ์ด้าน Learning and Growth เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การบริหารโรงพยาบาลประยุกต์ใช้ Balance Score Card ได้จัดโครงการทดสอบวัดความรู้และทักษะด้านภาษาอังกฤษภายในโรงพยาบาลชุมชน ขนาด 90 เตียง โดยได้รับการอนุเคราะห์การจัดทดสอบครั้งนี้จากสถาบันการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ (DTEC) สถาบันที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป โดยทดสอบวัดความรู้และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ 3 ด้าน คือ Reading, Grammar และ Listening
จากการทดสอบวัดระดับความรู้และทักษะด้านภาษาอังกฤษของบุคลากรสุขภาพที่มีคุณวุฒิตั้งแต่  ระดับปริญญาตรีขึ้นไปของโรงพยาบาล จำนวน 106 คน ประกอบด้วยบุคลากรสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ของโรงพยาบาล ได้แก่ แพทย์ พยาบาลวิชาชีพ เภสัชกร และ บุคลากรสาธารณสุขอื่นๆ อยู่กลุ่มที่มีอายุระหว่าง 23 - 60 ปี (Mean ± SD = 34.87 ± 7.31) และประสบการณ์การทำงานระหว่าง 1 - 39 ปี (Mean ± SD = 12.75 ± 7.79)                                                                        
      จากผลการทดสอบครั้งนี้พบว่า มีผู้ที่มีคะแนนรวมเฉลี่ยสูงกว่า 50 % จำนวน 3 คน (2.83%) คะแนนสูงสุด คือ 59.8 % กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีทักษะด้านการอ่านและการฟังในระดับดี  กลุ่มที่คะแนนเฉลี่ยอยู่ในช่วง มากกว่า 20 - 40 % จำนวน 61 คน (57.55%) กลุ่มที่มีคะแนนเฉลี่ย ต่ำกว่า 20 % จำนวน 42 คน (39.62%) โดยรวมผลคะแนนรวมมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 23.8 ± 9.10 % (Min - Max = 9.60 - 59.80%)  เมื่อเปรียบเทียบผลคะแนนรวมเฉลี่ยกับปัจจัยด้าน อายุ ประสบการณ์ กลุ่มวิชาชีพ พบว่าคะแนนรวมเฉลี่ยมีความแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (แผนภูมิ 1a-c) แต่ปัจจัยด้านระดับการศึกษามีคะแนนรวมเฉลี่ยแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 2.532, p=0.000; 95% CI)  (แผนภูมิ 1d) การศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีมีทักษะด้านภาษาอังกฤษมากกว่า น่าจะแปลความได้ว่า การที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในระดับบัณฑิตช่วยให้มีทักษะด้านภาษาอังกฤษดีกว่า หรืออีกนัยหนึ่งคือ การได้ศึกษามาก อ่านมาก ทำให้เกิดทักษะมาก และจากข้อมูลปัจจัยด้านอายุ และประสบการณ์ทำงานไม่แสดงความแตกต่างอย่างชัดเจนของระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษทั้งทักษะด้านการอ่านและการฟัง (ตามแผนภูมิ 1a-b)                 
ความสามารถด้านการอ่านของผู้สอบโดยเฉลี่ย เท่ากับ 18.6 ± 7.07 % (Min - Max = 8.00 - 42.00%) เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับทักษะเฉพาะด้านการฟังนั้น คะแนนเฉลี่ยของผู้สอบทั้งหมด เท่ากับ 8.59 ± 4.31 % (Min - Max = 2.00 - 26.00%) เป็นข้อสังเกตว่าระดับความสามารถการสื่อสารในด้านการฟัง (Listening Skill) ของบุคลากรนั้นยังไม่เพียงพอในการสื่อสารได้ดีนัก ทักษะด้านการอ่านอยู่ในระดับที่ดีกว่าทักษะด้านการฟัง แต่อย่างไรก็ตามการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษต้องมีทักษะการฟังที่ดี จึงจะสามารถจับประเด็นในการสนทนาและสามารถสนทนาโต้ตอบได้ ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการสร้างความประทับใจในกิจกรรมด้านการบริการที่มีคุณค่า สร้างความแข็งแรงและโอกาสในการตลาดทางธุรกิจบริการด้านสุขภาพ      
กรณีศึกษาครั้งนี้ เป็นเพียงกลุ่มตัวอย่างส่วนน้อยที่เป็นบุคลากรสาธารณสุขส่วนภูมิภาคแต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการสุขภาพที่ศึกษาเฉพาะด้านของระดับความรู้และทักษะด้านภาษาอังกฤษ  ภายหลังสำเร็จการศึกษาที่ได้รับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึง   ระดับบัณฑิตศึกษา แต่ทักษะด้านภาษาอังกฤษยังคงอยู่ในช่วงที่ต้องการโอกาสสำหรับการพัฒนาต่อไปให้มีทักษะในการนำไปใช้มากขึ้น ดังข้อมูลเบื้องต้นของบุคลากรสาธารณสุขที่เข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ ล้วนเป็นกลุ่มบุคลากรที่มีผลการศึกษาที่อยู่ในระดับดีของโรงเรียนมาก่อนที่จะเข้าเรียน แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร และเป็นบุคลากรสำคัญในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จึงเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงระบบการจัดการเรียนการสอนของประเทศไทยที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ถึงเวลากันหรือยังที่จะกลับมาทบทวนกันเสียที เพื่อการพัฒนาระบบการเรียนการสอนเพิ่มพูนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของการเรียนการสอน เพื่ออนาคตของชาติไทยก้าวสู่ Medical Hub of Asia อย่างสมศักดิ์ศรี


แผนภูมิ 1a-1d : แสดงผลคะแนนทักาาะการใช้ภาษาอังกฤษเปรียบเทียบกับปัจจัยด้านอายุ ประสบการณ์ กลุ่มวิชาชีพ และ ระดับการศึกษา

ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ประจำวันที่ 29  เมษายน 2548 ปีที่ 29 ฉบับที่  9911(หน้า 10)

.

..
คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 5897เขียนเมื่อ 26 ตุลาคม 2005 13:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 00:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

 thailand medical hub of asia

เป็นนโยบาย ที่เอื้อให้แก่ ร.พ เอกชน3 แห่งเท่านั้น คือ

บำรุงราษฏร์ ร.พ กรุงเทพ และ ร.พ พระรามเก้า

ได้ข่าว่าจุฬา และ ศิริราชและ รามา จะเข้าโครงการนี้ด้วย

ถามว่า ร.พรัฐ ดูแลคน ไทย ไม่ดีกว่าหรือ?

ถ้าไปดูต่างชาติกันหมดจะเอาทรัพยากรที่ไหนมาดูแลคนไทย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท