วันนี้ดิฉันขอนำเสนอความรู้เกี่ยวกับกิจกรรมบำบัดสำหรับเด็กออทิสติก โดยดิฉันสนใจเกี่ยวกับเด็กออทิสติกในวัยรุ่น ดิฉันได้รวบรวมหาข้อมูลจากงานวิจัยต่างๆรวมถึงจากประสบการณ์ที่ได้ฝึกงานในฝ่ายเด็กครั้งแรก และความรู้จากการสอบถามผู้รู้ แล้วสรุปออกมาเป็น 5 บท ดังนี้
บทที่ 1 PEOP Interaction
P = Person
E = Environment
ปัจจัยภายนอกของตัวบุคคล
O = Occupation
P =Performance
บทที่ 2 Evidence Based Practice Levels การประเมินความน่าเชื่อถือของหลักฐาน
หลักฐานนี้จัดเป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือระดับ 2( level of evidence B) เป็นหลักฐานที่ได้จากงานวิจัยที่เป็นการศึกษาย้อนหลัง (case controlled and cohort studies)
หลักฐานนี้จัดเป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือระดับ 2( level of evidence B) เป็นหลักฐานที่ได้จากงานวิจัยที่เป็นการศึกษาย้อนหลัง (case controlled and cohort studies)
หลักฐานนี้จัดเป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือระดับ 3 (level of evidence C) ซึ่งเป็นหลักฐานที่ได้จากการวิจัยเชิงบรรยาย พรรณนา (Descriptive studies)
หลักฐานนี้จัดเป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือระดับ 3 (level of evidence C) ซึ่งเป็นหลักฐานที่ได้จากการวิจัยเดี่ยวที่เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ
หลักฐานนี้จัดเป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือระดับ 4 (level of evidence ) เป็นหลักฐานที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มวิชาชีพเฉพาะ
บทที่ 3 การจัดการความรู้ Knowledge Management
สื่อทางกิจกรรมบำบัด Media of Occupational Therapy
การบำบัดรักษาของกิจกรรมบำบัดไม่จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมืออะไรมากมาย หากไม่มีเครื่องมือ เราก็สามารถใช้ตัวเราเองทำได้ เช่น หากไม่มีอุปกรณ์กระตุ้นประสาทความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชิงช้า แทมโปลีน แต่เราก็ใช้ตัวเราได้ โดยคิดกิจกรรมขึ้นมาให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ของเรา เช่น ต้องการส่งเสริมประสาทรับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว [Vestibular] เราก็จับเด็กเดินหมุนรอบตัวเราแทนก็ได้ และการที่ใช้เราเป็นสื่อในการฝึกบำบัดเด็กโดยตรงจะทำให้สัมพันธภาพระหว่างเราและผู้รับบริการดีขึ้นด้วย
สัมพันธภาพระหว่างผู้รับบริการและผู้บำบัดเป็นสิ่งสำคัญ ผู้บำบัดจำเป็นจะต้องสร้างความเชื่อมั่น ไว้วางใจให้กับผู้รับบริการ ในผู้รับบริการเด็ก ผู้บำบัดจะต้องคอยสนับสนุน คอยช่วยเหลือให้กำลังใจ มีการให้คำชื่นชม ให้รางวัล เพื่อให้เด็กรู้สึกปลอดภัย มีความไว้วางใจ มีแรงจูงใจที่จะทำกิจกรรมต่อไป ทำกิจกรรมได้สำเร็จ การสร้างสัมพันธภาพนอกจากแสดงออกเป็นคำพูดแล้ว ภาษาท่าทางก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในกรณีเด็กออทิสติกที่มีปัญหาเรื่องภาษาการสื่อสาร ผู้บำบัดจะต้องแสดงออกอย่างจริงใจ ผ่านทางคำพูด น้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง เป็นภาษากายที่ดูเป็นมิตร จากงานวิจัย พบว่า สัมพันธภาพที่ดีจะส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ของการรักษาไปในทางที่ดีตามไปด้วย
การทำกิจกรรมให้สำเร็จจะต้องประกอบด้วยความสามารถ ทักษะหลากหลายด้าน สำหรับผู้รับบริการที่ขาดทักษะความสามารถต่างๆไป การทำกิจกรรมก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ หรือบางครั้งอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำกิจกรรมนั้นๆเลย ดังนั้นผู้บำบัดนอกจากจะต้องฝึกทักษะความสามารถต่างๆแล้ว เราจะต้องพิจารณากิจกรรมที่เอามาเป็นสื่อด้วย ต้องผ่านการคิดวิเคราะห์มาแล้วว่ากิจกรรมนั้นๆมีขั้นตอนอย่างไร ต้องใช้ทักษะใดบ้าง และเมื่อวิเคราะห์มาแล้ว พอถึงขั้นปฏิบัติจริง หากไม่เป็นไปตามที่ตั้งให้ เราก็จะต้องรู้จักปรับเปลี่ยนกิจกรรมเพื่อให้เหมาะสม หากกิจกรรมนั้นผู้รับบริการทำได้ดีแล้ว ก็จะต้องเพิ่มระดับความยากด้วย เพื่อให้ผู้รับบริการเกิดความสามารถได้มากที่สุด
การจะส่งเสริมให้เด็กเกิดความสามารถจะต้องเน้นให้เด็กเรียนรู้เป็นผู้ลงมือทำกิจกรรมนั้นด้วยตนเอง (Active Learning) ถ้าเด็กไม่สามารถทำกิจกรรมนั้นได้เอง ผู้บำบัดจะต้องสอน ชี้แนะให้เด็กเข้าใจ ซึ่งก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การสาธิตให้ดู การอธิบายเป็นคำพูด เขียนเป็นขั้นตอน แสดงภาพให้เห็น การจะใช้วิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของเด็กด้วยว่าสามารถเรียนรู้จากวิธีไหนได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด บางคนเรียนรู้ได้ดีจากการฟัง แต่ในขณะที่อีกคนการมองจะเรียนรู้ได้ดีกว่า เป้าประสงค์ของการสอนคือการให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้และเกิดเป็นทักษะ ดังนั้นการสอนการชี้แนะก็จะต้องค่อยๆลดลงเมื่อเด็กมีความสามารถเพิ่มขึ้น
การปรับสภาพแวดล้อมทำเพื่อส่งเสริมให้ผู้รับบริการสามารถทำกิจกรรมการดำเนินชีวตต่างๆได้ อย่างปลอดภัย และสะดวกสบาย ในผู้รับบริการเด็กออทิสติกส่วนใหญ่มักจะพบปัญหาด้านการบูรณาการประสาทรับความรู้สึก ดังนั้นการปรับสิ่งแวดล้อมในเรื่องสิ่งเร้าประสาทความรู้สึกต่างๆก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับในกรณีนี้ด้วยเช่นกัน การปรับสภาพแวดล้อมมีความหมายรวมไปถึงทั้งสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กทุกอย่าง ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือแม้แต่ห้องฝึกก็ด้วย
บทที่ 4 Knowledge Translation
Occupational Therapy process
เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้เด็กเกิดความเชื่อใจและให้ความร่วมมือกับกิจกรรม แต่ในบางครั้งเด็กออทิสติกที่ไม่สามารถบอกความต้องการได้ ไม่มีการมองหน้าสบตา การสร้างสัมพนธภาพแบบการสื่อสารทั่วไปเป็นเรื่องยาก จึงจะต้องมีการใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ เป็นภาษาท่าทาง เน้นให้แรงเสริมเป็นการปรบมือ การให้เล่นของเล่น เพื่อให้เด็กเข้าใจและยอมรับ ยอมร่วมทำกิจกรรมให้ได้มากที่สุด
การสัมภาษณ์เป็นการรวบรวมข้อมูลวิธีหนึ่ง ซึ่งจะทำการซักประวัติ สอบถามข้อมูลต่างๆจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ให้ครอบคลุมในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง สำหรับกลุ่มเด็กออทิสติก หัวข้อที่ควรจะสอบถามคือ
การสัมภาษณ์ที่ดีจะต้องเป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจ เน้นให้ผู้ปกครองเป็นผ็เล่าเรื่องราวต่างๆ
สังเกตลักษณะภายนอกต่างๆของเด็กตั้งแต่แรกเห็นว่าเป็นอย่างไร รวมถึงพฤติกรรมการแสดงออกต่างๆของเด็กเมื่อเจอสถานการณ์ต่างๆ
เป็นการลองให้เด็กทำทักษะหนึ่งๆเพื่อค้นหาระดับความสามารถของเด็กว่ามีมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่ควรทดสอบสำหรับเด็กออทิสติกก็จะอ้างอิงตามพัฒนาการในด้านต่างๆที่ควรจะเป็น
การดูแฟ้มเวชระเบียนประวัติของเด็กก็เพื่อดูการวินิจฉัยของแพทย์ รวมถึงประวัติการรักษาจากสหวิชาชีพต่างๆ แล้วนำมาเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการบำบัดต่อไป
ผู้บำบัดจะต้องวางแผนการบำบัดแล้วจัดเป็นกิจกรรมให้เด็กทำ จากนั้นก็สังเกตจากการทำกิจกรรมนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นว่ามีการแสดงออกอย่างไร สามารถเริ่มทำกิจกรรมเองได้หรือไม่ มีการจดจ่อกับกิจกรรมหรือไม่
การบำบัดรักษาจะต้องเน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นจำเป็นต้องว่าผู้รับบริการต้องการอะไร บางครั้งไม่สามารถถามได้โดยตรง ด้วยข้อจำกัดต่างๆเช่น เด็กสื่อสารความต้องการไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรผู้บำบัดก็จะต้องรู้จักสังเกตจากการแสดงออกอื่นๆหรือมีการสอบถามเพิ่มเติมจากผู้ปกครอง
พิจารณาบทบาทของผู้รับบริการว่ามีบทบาทใดบ้าง แล้วบทบาทไหนที่บกพร่องไป ผู้บำบัดก็มีหน้าที่ส่งเสริมบทบาทนั้น สำหรับเด็กออทิสติกบทบาทที่มักจะบกพร่องไปก็มักจะบทบาทลูก บทบาทพี่-น้อง ผู้บำบัดจึงต้องส่งเสริม อาจจัดกิจกรรมให้ครอบครัวมาทำกิจกรรมร่วมกัน
เมื่อสิ้นสุดการบำบัดรักษาในแต่ละครั้ง ผู้บำบัดควรจะต้องมาทบทวนตนเองว่า สิ่งที่ได้ทำไปนั้นส่งผลต่อผู้รับบริการอย่างไร มีสิ่งใดที่ควรจะปรับปรุง จากนั้นก็จะต้องหาวิธีแก้ไขสิ่งนั้น โดยศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือต่างๆ
บทที่ 5 ความรู้ใหม่ Implication & การนำไปใช้ Application
ความรู้ที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้ครั้งนี้ คือ การได้เน้นย้ำแน่ชัดว่า เด็กออทิสติกเมื่อเข้าวัยรุ่น ส่วนใหญ่มักจะมีอาการทางจิตเพิ่มเข้ามาด้วย แต่การดูแลบำบัดรักษาทางกิจกรรมบำบัดที่เหมาะสมที่สุดก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ไม่มีอะไรที่จำเพาะเจาะจง แต่สิ่งที่จะต้องพิจารณาเหมือนกันทั้งออทิสติกวัยเด็กและในวัยรุ่นคือการส่งเสริมเรื่องทักษะทางสังคม
การนำไปใช้เมื่อมีโอกาสได้พบกับออทิสติกเด็กวัยรุ่นก็จะต้องพิจารณาดูประวัติเรื่องอาการทางจิตเพิ่มเติมด้วย เพื่อจะได้นำมาวางแผนการบำบัดได้มีประสิทธิภาพ และจะต้องแก้ที่ปัญหาพื้นฐานที่สำคัญของเด็ก
อ้างอิง
ไม่มีความเห็น