จากเป้าหมาย "เราจะอ่านวรรณคดีให้เข้าถึงคุณค่าของวรรณคดี และถ่ายทอดความงามทางภาษาออกมาให้ได้" คือ เป้าหมายในการเรียนรู้วิชาภูมิปัญญาภาษาไทย หลังจากที่นักเรียนได้เข้าใจและสัมผัสถึงรสชาติ รวมทั้งถึงความงามทางภาษา
จากจุดเริ่มต้นเหล่านั้น ทำให้ครูต้องชวนกันมาคิดหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้นักเรียนสนุกไปกับการอ่านวรรณคดีทุกครั้ง พร้อมทั้งได้นำเอาความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ก่อนหน้านี้มาใช้ได้ จึงเกิดเป็นโจทย์งานสร้างสรรค์ขึ้น คือ "การทำละครวิทยุ" นั่นเอง
ทำไมครูจึงเลือกทำละครวิทยุ
เมื่อครูพูดถึงละครวิทยุ นักเรียนส่วนใหญ่ก็ทำสีหน้าฉงนสงสัยว่าคืออะไร มีนักเรียนคนหนึ่งในห้อง ๖/๒ เป็นแฟนพันธุ์แท้ของละครวิทยุเลย ส่งเสียงเฮดีใจขึ้นมาว่า "อ๋อๆๆ หนูเคยฟัง ชอบฟังมาก สนุกค่ะ" ในขณะที่เด็กคนอื่นๆยังงงๆอยู่ ครูจึงพานักเรียนไปสัมผัสประสบการณ์ด้วยการให้นักเรียนลองฟังละครวิทยุตัวอย่าง
ละครวิทยุกับนักเรียนสมัยนี้ คงเป็นช่องว่างระหว่างกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งมีสื่อต่างๆที่เน้นภาพเป็นหลักแล้ว การได้ฟังอะไรต่างๆในชีวิตก็คงจะลดน้อยลงไป ครูจึงจัดหาสื่อเหล่านี้มาให้นักเรียนได้รู้จัก เมื่อให้นักเรียนได้ฟัง ครูก็ให้นักเรียนได้ลองสังเกตว่าละครวิทยุมีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง รวมทั้งชวนกันคิดว่า ถ้าเราจะสร้างละครวิทยุขึ้นมาหนึ่งชิ้น จะต้องมีอะไรมาประกอบกัน จึงจะทำให้ละครวิทยุน่าสนใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นเงื่อนไขในการทำงานของเราต่อไป
แต่ที่สำคัญก็คือ
นักเรียนมีความรู้ / ทักษะ ที่สะสมมาจากภาคเรียนก่อนหน้านี้ ได้แก่
ภาคเรียนนี้
การทำละครวิทยุจึงเป็นชิ้นงานที่นักเรียนต้องนำเอาประสบการณ์เดิมที่มีอยู่มาต่อยอดเป็นการ
โจทย์
"ให้สร้างสรรค์ละครวิทยุ จากการอ่านวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ตอน ศึกอินทรชิต" โดยมีเงื่อนไขในการทำงาน ดังนี้
๑. สมาชิก ๕ - ๖ คน
๒. สร้างบทละคร โดยส่วนประกอบ คือ มีการเกริ่นเรื่องราว มีบทบรรยายฉาก/เหตุการณ์ บทสนทนา ซึ่งจะต้องสะท้อนรสกวีและร้อยกรองภาษาให้ดี
๓. การพากย์เสียง โดยมีเสียงบรรยายและเสียงบทสนทนาตามอารมณ์ตัวละครประกอบในละครวิทยุ
๔. เสียงประกอบ เช่น เสียงดนตรีไทยและเสียงประกอบบรรยากาศให้สมจริง
ก่อนลงมือทำงานกันอย่างจริงจัง ครูให้นักเรียนลองสร้างบทละครจากบทร้อยแก้ว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ตอนต้นเรื่องก่อน
เมื่อซ้อมมือกันบ้างแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือทำงานกันจริงๆเสียที ซึ่งก่อนทำงาน ครูยังคงเน้นย้ำเป้าหมายในการทำงานครั้งนี้ด้วยการให้เห็นความสำคัญของงานนี้ว่า ...
๑.นักเรียนได้ใช้ความรู้ที่เรียนมา ๓ สัปดาห์ในการทำงานชิ้นนี้
- ลิ้มรสกวีและสัมผัสอารมณ์ของกวี
- ถ่ายทอดภาษากวีผ่านการเขียนบทละคร
- ถ่ายทอดภาษาภาพสำหรับบทละครวิทยุ
๒.สังเกตการเรียนรู้ของตนเองขณะทำงาน เพื่อได้ข้อค้นพบที่สำคัญของการอ่านวรรณคดี ๒ ประการ คือ "คุณค่าของวรรณคดี" และ "ความงามทางภาษา"
เมื่อทราบกันแล้ว นักเรียนจึงได้ลงมือทำงาน โดยเริ่มต้นจากการเขียนบทละคร จากบทร้อยกรองในวรรณคดีกัน แบ่งตอนต่างๆในเรื่องเป็น ๔ ช่วงเหตุการณ์ ได้แก่ อินทรชิตทำพิธีชุบศรนาคบาศ ศึกพรหมาสตร์ หนุมานทำลายพิธีกุมภนิยา และอินทรชิตรบครั้งสุดท้าย
ขณะที่ทำงาน นักเรียนก็ได้เรียนรู้จักการแก้ปัญหา โดยครูคอยเป็นผู้สังเกตการณ์และให้คำแนะนำไปเรื่อยๆ ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่พบได้แก่
๑. ปัญหาในการอ่านบทขนบวรรณคดี เช่น ชมเมือง รถทรง จัดทัพ ลงสรง ทรงเครื่องทรง เป็นต้น
๒. การไม่เข้าใจความหมายคำศัพท์
๓. ไม่รู้จัก/จินตนาการภาพเหตุการณ์บางตอนไม่ได้ เช่น ตอนนางสีดาทำพิธีเสี่ยงทายบุษบก
ครูจึงใช้กระบวนการ "นำเข้า-คลี่คลาย"ก่อนเริ่มต้อนทำงานทุกครั้ง โดยให้ความรู้ในส่วนที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน เช่น หาภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เล่าเรื่องราวตุการณ์ในตอนนี้มาสัมพันธ์กับบทประพันธ์ ให้นักเรียนเตรียมพจนานุกรมมาเพื่อเปิดหาความหมายของคำศัพท์ เป็นต้น
บรรยากาศในการ "นำเข้า-คลี่คลาย" เป็นบรรยากาศที่สร้างความสนุกให้กับนักเรียนได้เหมือนกัน โดยเฉพาะการช่วยกันหาความหมายของคำศัพท์ โดยครูให้นักเรียนหาความหมายของคำที่ไม่เข้าใจ แล้วมาช่วยกันเขียนขึ้นบนกระดาน กระดานในห้องเรียนจึงกลายเป็นคลังคำศัพท์ของห้องไปในทันที
เมื่อนักเรียนแต่ละกลุ่มได้บทละครวิทยุของตนเองมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่นักเรียนจะได้ลงมือ "พากย์เสียง" กันเสียที แล้วด้วยความบังเอิญปนความตั้งใจของครู ที่ได้พานักเรียนไปชมการแสดงหนังใหญ่ที่วัดขนอน จ.ราชบุรี นักเรียนได้มีโอกาสไปพบกับนักพากย์เสียงท่านหนึ่ง คือ "ครูตั้ม" ซึ่งสามารถพากย์เสียงได้สนุกสนาน และเปลี่ยนเสียงเป็นตัวละครต่างๆได้หลายตัว จึงเป็นส่วนหนึ่งในแรงบันดาลใจให้นักเรียนพยายามพากย์เสียงบทละครวิทยุของตนเองให้มีอรรถรส
สะท้อนการเรียนรู้
ผลสำเร็จจากการทำงานในครั้งนี้ สะท้อนผ่านการทำ AAR ในการทำชิ้นงาน โดยครูมีคำถามด้านการเรียนรู้ ๒ ข้อ ให้นักเรียนได้ตอบ คือ
๑. วันนี้ ฉันได้พบว่าวรรณคดีมีคุณค่าอย่างไร
๒. วันนี้ ฉันค้นพบความงามทางภาษา อย่างไร
ฉันพบว่าวรรณคดีมีคุณค่า โดยมีการใช้คำสัมผัส การหลากคำ ให้เกิดเสน่ห์ของภาษา เช่น บท "สีแววแสงวับฉายฉาน" "ดาวกลาดดาษเกลื่อนเรียงราย" เป็นต้น
พร้อม ๖/๔
ใช้ถ้อยคำไพเราะ สื่ออารมณ์ความรู้สึกชัดเจน เช่น เหตุการณ์ที่อินทรชิตมาลานางมณโฑเพื่อรบครั้งสุดท้าย นางมณโฑกล่าวด้วยความเศร้าใจว่า "นิจจาเอ๋ยเจ้าดวงนัยเนตร จอมเกศของแม่เฉลิมขวัญ เวราสิ่งใดมาตามทัน ให้พลัดพรากจากกันอนาถนัก"
ลินดา ๖/๔
ด.ช. โอม ซึ่งเคยมีทัศนคติที่ไม่ชอบการอ่านวรรณคดีมาก่อน รู้สึกว่า "เมื่อได้อ่านวรรณคดีรามเกียรติ์ ก็ประทับใจและเห็นว่าเรื่องราวมีความสนุกสนาน มีการต่อสู้และการวางแผน จนทำให้รู้สึกอยากอ่านวรรณคดีมากขึ้น และเกิดเป็นแรงบันดาลใจว่า "อยากจะอ่านเรื่องรามเกียรติ์ให้ครบทุกตอน เพื่อรู้เรื่องราวทั้งหมด"
นอกจากการเรียนรู้นี้ จะส่งผลที่ทำให้นักเรียนมีแรงบันดาลใจที่ดีในการทำชิ้นงาน และต่อยอดการเรียนรู้ของตนเองแล้ว แรงบันดาลใจเหล่านั้น ยังส่งผลต่อการดึงเอาศักยภาพที่มีอยู่ภายในตัวเองของนักเรียนออกมาด้วย โดยจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดจากการทำงานในภาควิมังสา คือ "การแสดงโขน"
การแสดงโขนจะเป็นงานระดับห้องเรียน ซึ่งนักเรียนจะต้องลงมือทำงานต่างๆ ด้วยตนเอง ก่อนแสดงนักเรียนต้องหาผู้นำและจัดสรรหน้าที่ทั้งหมดให้กับทุกคนในห้อง โดยพิจารณาให้ตรงตามความสามารถ เช่น การกำกับการแสดง การพากย์เสียง การเขียนบท การทำฉาก ฯลฯ
ด.ช. เอี๊ยม ได้แรงบันดาลใจที่ดีจากการฟัง "ครูตั้ม นักพากย์เสียงจากการแสดงหนังใหญ่ วัดขนอน" จึงพากย์เสียงการแสดงโขน ในส่วนของบทพากย์ได้ดีเยี่ยม
ส่วนห้อง ๖/๔ ซึ่งได้รับผิดชอบในการแสดงชุดศึกอินทรชิต ตอน อินทรชิตรบครั้งสุดท้าย ต้องท้าทายกับการเขียนบทละครเพื่อการแสดง เพราะ... ครูไม่มีบทการแสดงโขนต้นฉบับให้ดูเป็นแบบอย่าง จึงต้องอาศัยความสามารถที่มีอยู่ในการทำงานชิ้นนี้ร่วมกัน และเหตุที่บอกว่าเป็นความท้ายทาย ก็เพราะ
๑. การแต่งคำประพันธ์เพื่อการแสดงโดยเฉพาะ จะแตกต่างจากบทประพันธ์ทั่วไป เพราะจะต้องเขียนให้กระชับ สื่อความชัดเจน ไม่พรรณนาเยิ่นเย้อจนเกินไป
๒. บทละครเพื่อการแสดงจะต้องประกอบไปด้วย บทพากย์ บทร้อง และบทพากย์เจรจา ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเรียนไม่เคยรู้จักมาก่อน
๓. บทประพันธ์ที่แต่งขึ้น ต้องเหมาะสมกับการนำไปเป็นบทร้อง ดังนั้น การใช้คำในบทประพันธ์ต้องคำนึงถึงจังหวะและท่วงทำนอง
นักเรียนห้องนี้ก็ระดมความคิดกันเอง โดยมีกำลังสำคัญได้แก่ น้ำ มุข ลินดา เกรซ ต้นสน เก็น ฟ้า ป่าน ฯลฯ ซึ่งนักเรียนสามารถสร้างสรรค์บทละครที่มีความไพเราะขึ้นมาได้ด้วยตนเองจนสำเร็จ สร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวนักเรียนเองเป็นอย่างมาก
ดังนั้น หากย้อนมองเป้าหมายที่ได้ตั้งกันเอาไว้แต่แรกว่า "เราจะอ่านวรรณคดีให้เข้าถึงคุณค่าของวรรณคดี และถ่ายทอดความงามทางภาษาออกมาให้ได้" สิ่งที่นักเรียนแสดงออกผ่านการทำงานและการสะท้อนการเรียนรู้นั้น ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไว้ว่านักเรียนซึมซับความงามทางภาษาและเห็นคุณค่าของวรรณคดีได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ครูนัท - นันทกานต์ อัศวตั้งตระกูลดี บันทึก
ครูใหม่ - วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ปรุงรส
ไม่มีความเห็น