หลักสูตรที่ใช้สอนจะยึดตามแนวมาตรฐานอาชีพที่สมาคมอาชีพต่างๆ จัดทำขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่า ผู้จบการศึกษามีสมรรถนะตามที่เจ้าของอาชีพต้องการจริงๆ โดยมีผู้สอนจำนวนมากที่มาจากอาชีพนั้นๆ ไม่ใช่จบมาจากมหาวิทยาลัย ดังนั้นบรรยากาศการสอนจึงเป็นลักษณะการสอนเน้นการปฏิบัติจริงมากกว่าทฤษฎี
ในประเทศไทยมักได้ยินคำว่า Semi – Skill หรือ กึ่งฝีมือ ซึ่งมักจะหมายถึง คนที่มีทักษะยังไม่สมบูรณ์ เช่น เด็กที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ แต่ในประเทศอังกฤษจะไม่มีคำนี้ เพราะการพัฒนาแรงงานให้ทำงานได้ตามความต้องการของภาคเอกชน ต้องมีทักษะที่สมบูรณ์หรือ Full Skill เท่านั้น การสอนแบบ Semi Skill ดูเหมือนว่ายังไม่มีสมรรถนะ จึงไม่สมควรรับเข้าทำงาน ดังนั้นเป็นหน้าที่ของสถานศึกษาต้องผลิตบุคลากรที่มีสมรรถนะทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น (สิ่งนี้บอกเป็นนัยๆ ว่า การแยกประเภทของประกาศนียบัตรวิชาชีพและประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงจำเป็นหรือไม่)
สภาพการสอนในวิทยาลัย มีความพร้อมของวัสดุอุปกรณ์ในระดับดีมาก เช่น วิทยาลัยที่สอนด้านอาหารแห่งหนึ่ง มีอุปกรณ์การสอนเหมือนอยู่ในโรงแรม ห้องเรียนเป็น Theater สามารถถ่ายทอดสดไปยังผู้เรียนที่อยู่ห่างไกลได้ และมีภัตตาคารให้ผู้เรียนได้ฝึกงาน ซึ่งเป็นภัตตาคารขนาดใหญ่ดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง
ส่วนผู้สอนวิชาชีพจำนวนมากเป็นผู้ที่เคยผ่านการทำงานในอาชีพนั้นมาก่อน ไม่ได้จบปริญญาตรี ปริญญาโท เหมือนในประเทศไทย สามารถให้ความรู้ในการทำงานได้อย่างดี นอกจากนั้นยังสามารถให้ประสบการณ์ในฐานะผู้ประกอบการได้อีกด้วย
ผู้บริหารวิทยาลัย เรียกว่า Director ได้รับการคัดเลือกและแต่งตั้งจากคณะกรรมการสถานศึกษา ระยะเวลา 4 ปี แต่จะประเมินทุกปีโดย คณะกรรมการบริหารวิทยาลัย และจะถูกตรวจสอบ โดยผลการตรวจประเมินคุณภาพการศึกษา ซึ่งผู้บริหารวิทยาลัยจะมีเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันให้วิทยาลัยตอบสนองความต้องการของภาคเอกชน
วิทยาลัยอาชีวศึกษาในอังกฤษและออสเตรเลีย มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ การพยายามปรับตัวเองตลอดเวลา เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน ความต้องการของภาคเอกชน และการแก้ปัญหาการว่างงาน เราจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น การควบรวมของสถานศึกษา การเลิกสอนในสาขาที่ไม่ประสบความสำเร็จ โการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารสถานศึกษา โดยจะมีคณะกรรมการที่สภาแต่งตั้งเข้ามาตรวจสอบQuality เพื่อเป็นการทบทวนรูปแบบในการบริหารงานของสถานศึกษา
วิทยาลัยในประเทศอังกฤษมีสิ่งหนึ่งที่วิทยาลัยในประเทศไทยขาดไป คือ ระบบการช่วยเหลือผู้เรียน หรือ Tutor ที่จะทำหน้าที่สนับสนุนผู้เรียนรายบุคคลที่มีปัญหาในการเรียนและการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จในการเรียน ฉะนั้นอัตราผู้จบการศึกษาจึงสูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศไทย นอกจากนั้นวิทยาลัยบางแห่งมีระบบให้คำปรึกษาในการหางานหลังจากจบการศึกษาด้วย
เปรียบเทียบการอาชีวศึกษาไทยและอังกฤษ
อาชีวศึกษาอังกฤษ |
อาชีวศึกษาไทย |
|
สถานะของวิทยาลัย | เป็นองค์กรของรัฐแต่บริหารอย่างอิสระ | วิทยาลัยส่วนใหญ่เป็นของรัฐ รัฐควบคุมใกล้ชิด |
ผู้บริหาร | แต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารวิทยาลัย | แต่งตั้งโดยรัฐบาลกลาง |
หลักสูตร | ตามแนวทางสมรรถนะที่กำหนดโดยสมาคมอาชีพ | เน้นให้ความรู้วิชาการและทักษะในอาชีพ โดยวิทยาลัย (กระทรวงศึกษาธิการ) เป็นผู้กำหนดหลักสูตร |
เป้าหมายการพัฒนาบุคลากร | ตามความต้องการของตลาดแรงงาน | ตามความพร้อมในการจัดสอน |
ผู้สอน | มีประสบการณ์ในอาชีพ | มีความรู้จากสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัย |
การจัดการสอน | ยืดหยุ่นด้านเวลาและสถานที่ | เป็นแบบแผนตามระเบียบ |
เมื่อเปรียบเทียบอาชีวศึกษาไทยกับอังกฤษ จะเห็นความแตกต่างที่สำคัญ ได้แก่ วิธีการบริหารจัดการที่ในประเทศอังกฤษ มีลักษณะที่เรียกว่า Demand Side มากกว่า คือ ตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจได้มากกว่า (แม้จะไม่ 100% เหมือนสถานประกอบการจัดการฝึกอบรมเอง) ส่วนของไทย อาชีวศึกษายังมีลักษณะที่เรียกว่า Supply Side ที่สถานศึกษาและภาคราชการ ยังเป็นผู้กำหนดหลักสูตร ระยะเวลา สาขาที่เปิดสอน การประเมินผล ที่ไม่ตอบสนองภาคธุรกิจอย่างที่ควรจะเป็น
ไม่มีความเห็น