ผมได้อ่านบทความของ สุรีรัตน์ ตรีมรรคา เรื่อง หลักประกันสุขภาพ
อย่างเดียวไม่พอ ที่เขียนไว้ที่ หนังสือพิมพ์ประชาไทย ยอมรับว่าหักห้ามใจไม่ได้ที่จะไม่นำมาขยายต่อ
โดยคัดมาบางส่วน ดังนี้ครับ นโยบายหลักประกันสุขภาพ
นับเป็นความก้าวหน้าที่รัฐบาลไทยรักไทยกล้าทำ เพราะต้องดำเนินการ
"หักด้ามพร้าด้วยเข่า"
คือการหักดิบการจัดการงบประมาณจากเดิมให้งบเบ็ดเสร็จเหมารวมไปที่กระทรวงสาธารณสุขที่เดียว
เปลี่ยนเป็นงบประมาณเป็นของประชาชน
เป็นค่าใช้จ่ายรายหัวของประชาชนที่จ่ายให้กระทรวงฯ
ให้ทำหน้าที่ดำเนินการดูแลรักษาประชาชนโดยไม่ต้องรับค่ารักษาใด ๆ อีก
เป็นหลักประกันว่ายามเจ็บป่วยทุกคนสามารถไปรับการรักษาได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ไม่ต้องร้องขอการ "สงเคราะห์ช่วยเหลือค่ารักษา" อีกต่อไป
เพราะรัฐจัดสรรงบให้แล้ว
แต่การดำเนินนโยบายนี้
ต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากข้าราชการกระทรวง
รวมถึงการปรับเปลี่ยนทัศนคติ วิธีคิดจากที่ข้าราชการคือเจ้านาย
เปลี่ยนเป็นหมอ พยาบาล
และเจ้าหน้าที่ทุกส่วนเป็นพนักงานบริการประชาชนไม่ใช่เจ้านายอีกต่อไป
หากรัฐไม่อาจซื้อใจคนเหล่านี้ด้วยแรงจูงใจบางอย่าง
อาจส่งผลเสียคือความล้มเหลวของระบบหลักประกันสุขภาพได้
และคงต้องเน้นทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพมีความยั่งยืน
และทำให้ข้าราชการพร้อมจะทำงานบริการรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง
ไม่ใช่พูดง่าย ๆ ว่า รักษาฟรี อย่างเดียวต้องให้เงินเพิ่ม ให้แรงจูงใจ
เพื่อคนในระบบจะมีความสุขในการทำงานบริการประชาชน
หากในบทความนี้ได้กล่าวถึงหลักประกันการศึกษา
หลักประกันเรื่องที่ดินทำกิน
และหลักประกันเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานไว้ด้วย
ประเด็นที่ผมยกมากล่าวไว้ที่นี่จะเป็นเฉพาะ “หลักประกันสุขภาพ”
ครับ
หลักประกันสุขภาพที่มุ่งให้แก่ประชาชน ณ
วันนี้ถือว่าเกือบจะถึงที่สุดแล้วในแง่ของความครอบคลุม
เพราะอยู่ที่ร้อยละ 98.00 – 99.00
และที่เหลือก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงสิทธิไปมาในระหว่างการแจงนับมากกว่า
มีบ้างครับที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน แต่คนเหล่านั้นก็มีมาตรา 8 ตาม
พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545
ไว้รองรับให้มีสิทธิและสามารถใช้บริการได้ในทันทีนั้น
หลักประกันสุขภาพ ณ วันนี้จึงน่าจะมาดูที่ประชาชน
(ใช้ประชาชนเป็นฐานคิดในการเขียนบันทึกนี้ครับ)
ว่ายังมีการไม่ทราบสิทธิว่ามีอะไรบ้างอยู่อีกไหม
มีความเต็มใจไปใช้บริการโดยใช้บัตรทองแค่ไหน
ทำไมคลินิกเอกชนถึงมีคนใช้บริการมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงมีโครงการฯ
นี้
ประชาชนภูมิใจกับการยื่นบัตรทองเพื่อแสดงสิทธิในการขอรับบริการจากสถานบริการ
หรือกล้า ๆ กลัว ๆ หรือไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น
อย่างนี้เป็นต้นครับ (เท่าที่นึกได้ขณะนี้)
ผมมีข้อมูลเชิงประจักษ์ 1 คน ที่เล่าให้ฟัง
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงแรกที่เริ่มมีบัตรทอง (ประมาณปี
2545) ลองอ่านดูนะครับ แล้วผมขอจบบันทึกนี้ลงเลย ในตอนนี้
“รอให้เขาบอกค่ายาก่อนว่าเท่าไหร่ พอเห็นหลายบาท 300 กว่าบาท
ลุงก็เอาบัตรทองยื่นให้”
“เขาต่อว่าผมใหญ่ว่า ให้ยื่นบัตรเสียแต่แรก และจะให้ผมจ่ายเงิน”
“ผมไม่ยอมจ่าย และก็ไม่จ่าย แต่ก็ได้ยามานะครับ”
“สุดท้ายวันนั้น จนถึงวันนี้ ผมไม่เคยได้ไปเอายาที่นั่นอีกเลย
“ดีนะที่เป็นคนพิการ ไปที่อื่นได้เลย ไม่ต้องให้หมอส่งตัว”
ไม่มีความเห็น