ไม่รู้จะจั่วหัวเรื่องนี้ว่าอะไรดี
เอาเป็นว่า ใครอ่านแล้วนึกชื่อเรื่องออกก็บอกหน่อยก็แล้วกันครับ
เคยได้ยินหรือเคยอ่านเรื่องวาจาศักดิ์สิทธิ์กันบ้างไหมครับ ที่เวลาคนบางคนพูดอะไรออกไป ก็มักจะเกิดสิ่งนั้นตามที่เขาพูดไว้ ส่วนมากเรามักจะเข้าใจว่า เรื่องแบบนี้น่าจะเกิดกับนักบวช กับพระ หรือกับผู้ทรงศีลที่มีความแก่กล้าทางวิชาอาคม
แต่เรื่องนี้ก็บังเอิญเกิดเกิดขึ้นกับผมบ้างเหมือนกัน
เมื่อราวปลายปีที่แล้ว ขณะที่กำลังเดินไปไหนสักแห่ง ในใจก็นึกเรื่อยเปื่อยตามประสาคนสติล่องลอย คิดไปเรื่อยแหละครับ เห็นคนนั่งหน้า ICU ก็จินตนาการไปว่าญาติเขาคงป่วยเป็นนู่นเป็นนี่ เขาเป็นใครในครอบครัว ใครทำงานเลี้ยงครอบครัว แล้วถ้าเขาจะต้องจากไป คนที่เหลือข้างหลังจะเป็นอย่างไรบ้าง
เห็นไหมครับ ว่าคิดไปได้เรื่อยๆจริงๆ แล้วบางทีก็จิตตกไปกับเขาเสียด้วย โดยเฉพาะเมื่อเดินผ่านหน้าห้อง ICU เด็ก และที่สำคัญก็คือ ต้องเดินผ่านที่นี่ทุกวัน
แต่คราวนี้ผมเดินอยู่ที่ไหนสักแห่งในโรงพยาบาล พลันก็นึกออกไปว่า นี่เราก็ทำงานบริหารโรงพยาบาลมานานถึงครึ่งเทอมแล้วสินะ หากมีหน่วยงานจากภายนอก หรือ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมาตรวจสอบเสียบ้างน่าจะดี มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะได้เคลียร์เสียให้เรียบร้อย ถ้าจะให้สะอาดก็สะอาดเสียตั้งแต่ก่อนจบเทอม ถ้าจะมีคนเห็นว่าสกปรก หากมีโอกาสได้อธิบายก็อยากให้คนมาตรวจสอบได้ช่วยอธิบายให้ คิดไปแล้วก็อมยิ้ม ว่าคิดแบบนี้ออกไปได้อย่งไร
ราวสองสัปดาห์ถัดจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็รายงานให้ทราบว่า สตง.ได้ขอเข้ามาตรวจสอบโปรเจคการก่อสร้างของโรงพยาบาล ๒ เรื่อง
นึกได้ก็เดินอมยิ้มเป็นครั้งที่ ๒
ยังมีอีกนะครับ อย่าเพิ่งคิดไปว่าผมเป็นผู้มีองค์ไปเสียก่อน นั่นอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ
หลังจากเหตุการณ์เรื่อง สตง. มาไม่นานนัก ผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปผ่าตัดผู้ป่วยรายหนึ่ง เราวินิจฉัยว่าเธอเป็นถุงน้ำรังไข่ชนิดที่ไม่น่าจะเป็นมะเร็ง มันก็เป็นผู้ป่วยที่เราเจอและเข้าผ่าตัดกันตามปกติ
แต่สิ่งที่ไม่ค่อยปกตินักก็คือคืนก่อนหน้าจะผ่าตัด ผมท้องเสียตั้งแต่ช่วงดึก นอกจากน้ำออกโจ๊กๆ ผมยังมีอาการผะอืดผะอมอยากจะอ๊วกเสียเต็มประดา อาหารมื้อเช้าก็กระเดือกไม่ลง จึงเข้าห้องผ่าตัดไปด้วยอาการระทวยเล็กน้อย
แต่สิ่งที่ทำให้ระทวยมากขึ้นก็เมื่อผ่าตัดไปได้ระยะหนึ่งแล้วพบว่า การผ่าตัดในรายนี้ยากกว่าที่คิด เธอมีพังผืดในช่องท้องค่อนข้างมาก เนื้องอกที่ว่านั้นมันมุดลงไปในอุ้งเชิงกรานชนิดที่ว่ามือยังล้วงเข้าไปลำบาก ผมตัดสินใจเรียกอาจารย์รุ่นน้องที่เป็นหมอผ่าตัดมะเร็งมาเข้าช่วย ซึ่งเราทั้งคู่ก็ออกอาการทุลักทุเลด้วยความยากของการผ่าตัด ผ่านไประยะหนึ่งมันก็ยังเดินหน้าไปไม่ถึงไหน ผมก็พลันนึกในใจ "นี่ถ้าอาจารย์วิรัชอยู่ล่ะก็ เราจะเรียกมาช่วยอีกแรง" ก็แค่นึกครับ อาจารย์จะอยู่ได้อย่างไรในเมื่อท่านลาออกไปตั้งกว่าปีแล้ว ท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ เมื่อก่อนเวลาเจอเคสที่ยากๆ อาจารย์วิรัชนี่แหละที่จะมาเป็นฮีโร่ให้พวกเราเสมอ
"นี่ถ้าอาจารย์วิรัชอยู่ล่ะก็ เราจะเรียกมาช่วยอีกแรง" ผมนึก
"สวัสดีแป๊ะ" นั่นคือเสียงสวรรค์! เพราะเสียงนี้คือคำทักทายของอาจารย์วิรัช
ท่านเปิดประตูห้องผ่าตัดเข้ามาทักทาย ผมนี่ขนลุกซู่
"อาจ๊ารรรย์ อาจารย์รู้ได้ไงว่าผมเรียก" ผมอุทานออกไปเสียงสั่น และไอ้ที่ต้องเสียงสั่นนั่นเป็นเพราะตื่นเต้นกับอารมณ์ตัวเองหนึ่ง และรู้สึกหวิวๆอยากจะเป็นลมเพราะหมดแรงจากขี้แตกอีกหนึ่ง
"ช่วยหน่อยครับ มันยากเหลือเกินแล้ว" ผมพูดออกไปเพราะเข้าใจว่ากระแสจิตของผมคงไปสะกิดอาจารย์ จนท่านต้องมาถึงที่นี่
อาจารย์วิรัชบอกว่า พอดีวันนี้มีเคสน่าสนใจในทีมศัลยกรรม ท่านเลยถือโอกาสมาดูเขาผ่าตัดและเข้ามาทักทาย
ผู้ป่วยรายนี้ได้รับการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยด้วยความปลอดภัยภายใต้มืออาจารย์วิรัช โดยมีผมไปนั่งหมดแรงอยู่ด้านนอก อาจารย์ช่วยจนกระทั่งเย็บแผลคนไข้จนเสร็จ
ผมมานั่งนึกย้อนไป ว่าเรามีองค์เหรอ ทำไมอาจารย์จึงได้ยินผมเรียกหาและมาช่วยผมได้ แต่ผมคิดว่าไม่หรอกครับ มันน่าจะเป็นบุญของคนไข้ที่จะปลอดภัยมากกว่าที่จะเป็นบุญของผมต่างหาก
ยังครับ ยังไม่หมด เรื่องตลกกับชีวิตผมยังไม่จบ
ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสตรวจคนไข้ซึ่งเธอมีความพิเศษบางอย่างที่ผมเกิดระลึกถึง
เมื่อราว ๒ ปีที่แล้ว เธอมาหาผมด้วยอาการช่องคลอดระบมจากการมีเพศสัมพันธ์เนื่องจากความผิดปกติบางอย่างของสามี ผมได้ทำการรักษาเธอไปและแนะนำว่า หากต้องการความช่วยเหลือก็ให้กลับมาหาได้ทุกเมื่อ และเธอก็หายไปจากชีวิตของผม
กระทั่งเมื่อราว ๒ สัปดาห์ท่ีผ่านมา จู่ๆผมก็คิดถึงเธอคนนั้น ว่าป่านนี้ชีวิตทางเพศของเธอจะเป็นเช่นไร ก็แค่คิดถึงนะครับ ไม่มีนัยอย่างอื่น มันผ่านเข้ามาแวบหนึ่งแล้วก็หายไป แล้วจู่ๆอยู่มาวันหนึ่งไม่นานเกินกว่าสัปดาห์หลังจากการคิดถึงเธอครั้งนั้น เธอก็มาปรากฏตัวต่อหน้าผมด้วยอาการตกขาว ผมจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ ใช้สายตาลากผ่านบันทึกการเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อกว่า ๒ ปีที่แล้วก็พบว่ามีการตรวจมะเร็งปากมดลูกไป จากนั้นก็เข้าไปตรวจภายใน และเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ผมคิดถึงอะไรบางอย่างที่บันทึกเอาไว้ หลังจากล้างมือเรียบร้อยก็รีบออกมาทบทวนประวัติซ้ำอีกครั้ง และผมก็จำเธอได้ เธอคนนี้คือคนที่ผมเพิ่งระลึกถึงเมื่อไม่กี่วันนี้นี่เอง
ชีวิตทางเพศเธอยังเหมือนเดิม อาการทรมานในช่องคลอดของเธอดีขึ้นมากแล้ว
นั่นคือสิ่งที่ผมค้างคาใจ และสบายใจเมื่อทราบคำตอบที่ได้รับมา
มาถึงเรื่องที่ ๓ นี้ก็รู้สึกตะหงิดๆ ตกลงนี่ผมคงจะมีองค์จริงๆเหรอ
ยังครับ ยังไม่หมดเพียง ๓ องก์นี้
ผมใช้คำว่า "องก์" ไม่ใช่ "องค์" ก็เพราะรู้สึกว่า มันกำลังจะเหมือนนิยายภาคต่างๆเข้าไปทุกที
มาถึงองก์ที่ ๔ ก็เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้นี่เอง เมื่อผมเห็นลุงใบ้หวยเดินไปเดินไปเดินมาตะโกนบอกหวยชาวหาดใหญ่ที่จอดรถหรือเร่งเครื่องรถผ่านไฟเหลืองข้ามแยก
จะว่าไป ลุงคนนี้ไม่ได้ทำให้ผมคิดถึงชีวิตแกมากมายนัก เห็นแกเดินอยู่ละแวกแยกถนนราษฎร์ยินดีตัดกับศุภสารรังสรรค์อยู่นานเกินกว่า ๓ ปีได้แล้ว (หรืออาจจะนานกว่านั้นก็ไม่แน่) แกชอบเดินบนถนน หิ้วถุงใส่อุปกรณ์พาดบ่าเดินข้ามแยกอยู่เรื่อยๆ เห็นอยู่เกือบทุกวันจนชินตาและก็ไม่ได้ใส่ใจแกเลยแม้แต่น้อย เหมือนหายใจแต่ไม่เคยใส่ใจว่าหายใจเข้าหรือหายใจออก อาจจะรู้สึกว่ายังหายใจบ้างก็ต่อเมื่อมีกลิ่นมากระทบโพรงจมูก
อย่างเช่นคราวนี้
ผมพาลูกเมียไปกินอาหารเย็นในวันศุกร์วันหนึ่ง เมื่อเราขับรถกลับมายังเส้นทางเดิมๆ และนั่นรวมถึงแยกที่ลุงคนนี้แกอาศัยอยู่ประจำ ทุกวันก็เห็นและไม่ใส่ใจ แต่ครั้งนี้ผมมองหน้าแกแล้วบอกลูกสาวทั้ง ๒ ให้ดูลุงคนนี้ เปิดกระจกให้ลูกฟังลุงแกตะโกน
แกกำลังทำหน้าที่ใบ้หวยอยู่เหมือนเช่นทุกครั้ง ยังคงตะโกน ยกมือขวาชี้ไปยังรถที่สัญจรไปมา เลขอะไรผมก็จับใจความไม่ได้ นั่นคงจะเป็นเพราะเลขหวยไม่เคยเรียกความสนใจผมได้กระมัง ผมบอกลูกออกไปว่า "พ่อกลัวลุงแกจะถูกรถชนจัง หากแกยังคงยืนบนถนนตรงหัวโค้งอยู่อย่างนี้"
ก็แค่คิดแว๊บเดียวในหัว โดยไม่คิดว่าเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นก็มีข่าวทางไลน์และเฟซบุ๊คบอกว่า แกถูกรถชนตายไปเสียแล้ว
เรื่องนี้ทำเอาผมสะเทือนใจ พลางย้อนคิดไปถึงเรื่องด้านบน ว่าทำไมเดี๋ยวนี้คิดอะไรออกไปแล้วมันมักจะเกิดขึ้นอย่างที่คิด
แต่องก์ที่ ๔ นี้ไม่ถือว่าเป็นดั่งความคิด เพราะเมื่อมองอีกมุมหนึ่ง คุณลุงแกคงมีวาระของท่านพอดี แล้วผมคงรับรู้วาระของท่านโดยบังเอิญ และผมยังมีความเชื่อลึกๆว่า คงมีอีกหลายคนที่อาจจะรู้สึกแบบผมในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น
เป็นไงครับ องก์นี้ออกจะมีดราม่าเล็กน้อยนะครับ
หรือว่าผมจะมีองค์จริงๆ (ฮ่า ฮ่า)
มาจนถึงวันนี้ที่ผมตัดสินใจว่าตัองเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ออกมา
เมื่อวานผมไปประชุมที่เมืองหลวง มื้อเที่ยงก็ไปทานอาหารกับท่านอาจารย์ที่อยู่ชมรมเดียวกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านอาคารที่ไปประชุม ละแวกเพชรบุรีตัดใหม่ ใกล้ถนนพระรามเก้า (แล้วเขียนเล่ามาทำพระแสงของ้าวอะไรวะ) ระหว่างทานอาหารอยู่นั้นก็มีคนบอกว่าให้เริ่มสั่งอาหารหวานมากินได้เลย และก็เร็วกว่าที่คิด ผมก็ถามออกไปว่า "จะกินทุเรียนน่ะ มีมั้ย" ก็มีคนหัวเราะและพูดออกมาว่า "กวนได้ที่จริงๆ"
นั่นก็แค่แซวเล่น ใครเขาจะเอาทุเรียนมาเสิร์ฟในโรงแรมแบบนี้ แต่มันก็ต้องมาสะอึกอกสะเทือนเมื่อขณะที่กำลังประชุมในบ่ายวันนี้ที่ราชวิทยาลัย จู่ๆเจ้าหน้าที่ธุรการก็เข้ามาเสิร์ฟกาแฟยามบ่ายและมีเครื่องเคียงเป็น "ทุเรียนกวน"
แหม ต้องเป็นทุเรียนกวนด้วยสินะ
วันนี้ผมนั่งเครื่องกลับจากกรุงเทพฯ เลือกที่จะนั่งฝั่งตะวันตกเพราะคิดว่า แสงยามพลบค่ำน่าจะทำให้ผมชื่นใจ แต่ครั้นเมื่อขึ้นเครื่องก็หลับจนไม่รู้ตัวเลยว่าเครื่องทะยานขึ้นฟ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มาตื่นอีกครั้งก็เพราะมีเสียงประกาศว่าจะบริการอาหารว่าง ผมเผยอตามองออกนอกหน้าต่างก็ต้องตื่นเต็มตา เพราะชั้นเมฆที่เครื่องบินกำลังเหาะผ่านขึ้นมานั่นมันแยกเป็นชั้นในแนวระนาบสวยบาดตาเหลือเกิน อีกทั้งเมื่อผ่านมาจนแสงสีทองกำลังจะลับชั้นฟ้า ขอบโลกชั้นบนแสดงให้เห็นความโค้งของชั้นบรรยากาศอย่างน่าประทับใจ
นี่ผมนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกเหรอเนี่ย
ธนพันธ์ ชูบุญคงมีองค์ เพิ่งเสร็จการเล่าเรื่องทั้ง ๔ องก์ และตั้งชื่อเรื่องไม่ได้
๒๐ กพ ๕๘
สงสัยอยู่เหมือนกันว่าลุงใบ้หวยแกเสียเพราะอะไร
หมอแป๊ะมีองก์จริงด้วยนะนี่ มันบ่อยเกินไปแล้ว
ง่า..... งั้นขอหวยจากหมอแป๊ะแทนลุงใบ้หวยได้ป่าว....