บันทึกชุด "สอนอย่างมือชั้นครู" ๓๕ ตอน ชุดนี้ ตีความจากหนังสือ Teaching at Its Best : A Research-Based Resource for College Instructors เขียนโดย Linda B. Nilson ซึ่งเป็นฉบับพิมพ์ปรับปรุงครั้งที่ ๓ ผมขอเสนอให้อาจารย์ในสถาบันการศึกษาไทยทุกคน หาหนังสือเล่มนี้อ่านเอง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ เพราะหากติดตามอ่านจากบันทึกใน บล็อก ของผม ซึ่งลงสัปดาห์ละตอน จะใช้เวลากว่าครึ่งปี และการอ่านบันทึกของผมจะแตกต่างจากการอ่านฉบับแปล หรืออ่านจากต้นฉบับโดยตรง เพราะบันทึกของผมเขียนแบบตีความ ไม่ได้ครอบคลุมสาระทั้งหมดในหนังสือ
ตอนที่ ๒๙ นี้ ตีความจาก Part Six : Assessing Learning Outcomes มี ๕ บท ตอนที่ ๒๙ ตีความจากบทที่ 28. Assessing Student Learning in Progress
สรุปได้ว่า
การประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Assessment) มีประโยชน์ทั้งต่อนักศึกษา และต่ออาจารย์ ช่วยให้นักศึกษาปรับปรุงการเรียนของตน และช่วยให้อาจารย์ปรับปรุงวิธีจัดการเรียนการสอนของตน
เทคนิคประเมินชั้นเรียน (Classroom Assessment Techniques – CATs)
เป็นเทคนิคที่ช่วยให้อาจารย์ประเมินทั้งชั้นเรียน และประเมินนักศึกษาเป็นรายคน เป็นเทคนิคที่ช่วยให้มีความแม่นยำในการประเมิน ดีกว่าการสังเกตพฤติกรรมและหน้าตาท่าทางของนักศึกษา โดยอาจารย์ นอกจากนั้นยังช่วย กระตุ้นความตื่นตัวของนักศึกษาในตอนเริ่มต้นชั้นเรียน และช่วยสรุปประเด็นตอนท้ายชั้นเรียนด้วย
เทคนิคประเมินชั้นเรียนที่ดีมีลักษณะดังต่อไปนี้
การประเมินชั้นเรียน ครูควรดำเนินการเป็น ๓ ขั้นตอน คือ (๑) เริ่มจากง่าย เลือกชั้นเรียนที่ดำเนินไป อย่างราบรื่น และประเมินด้วเครื่องมือที่ง่ายและใช้ความพยายามน้อย เช่น one-minute paper, one-sentence summary (๒) อธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่าครูจะทำอะไร เพื่ออะไร มีประโยชน์ต่อนักเรียนอย่างไร รวมทั้งคำตอบของนักเรียนจะไม่เปิดเผยตัว และใช้สำหรับการปรับปรุงของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น (๓) ตอบสนองต่อข้อมูลที่รวบรวมได้ หลังจากนำคำตอบไปตรวจและได้ความเข้าใจข้อมูลที่ต้องการแล้ว ต้องนำไปอธิบายให้นักเรียนฟัง รวมทั้งบอกว่าครูจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการสอนอย่างไรบ้าง จะยิ่งดี หากให้นักเรียนบอกว่า ตนจะปรับปรุงการเรียนของตนอย่างไร
เลือกวิธีประเมินชั้นเรียนที่เหมาะสม
การประเมินชั้นเรียนต้องเหมาะสมต่อประเภทของการเรียนรู้ ซึ่งหนังสือบอกว่ามี ๔ ประเภทคือ (1) Declarative learning เป็นการเรียนข้อเท็จจริง (2) Procedural learning เรียนกระบวนการ หรือวิธีทำอะไรบางอย่าง (3) Conditional learning เรียนประยุกต์ใช้ความรู้ ซึ่งอาจใช้ case method, problem-based learning, service-learning เป็นต้น (4) Reflective learning เป็นการเรียนเพื่อตอบคำถาม why นำนักเรียนสู่ประเด็นเชิงความเชื่อ คุณค่า ของการเรียนรู้นั้นๆ
ตัวอย่างเทคนิคประเมินชั้นเรียน
เทคนิคประเมินชั้นเรียนมีได้มากมาย และครูแต่ละคนก็สามารถคิดสร้างวิธีการขึ้นเองได้ เทคนิค เรียนโดยการฝึกเขียน ตามที่ระบุไว้ในตอนที่ ๑๘ หลายเทคนิคนำมาใช้เพื่อประเมินชั้นเรียนได้
ประเมินความรู้เดิม (Background Knowledge Probe. ใช้แรงครูปานกลาง ใช้แรงนักเรียนน้อย)
ใช้ในชั่วโมงแรกที่เปิดสอนรายวิชา อาจเป็นคำถามให้ตอบสั้นๆ ๒ - ๓ คำถาม หรือเป็นคำถามให้ตอบแบบเรียงความสั้นๆ หรือข้อสอบแบบหลายตัวเลือก ๑๕ - ๒๐ ข้อ
การประเมินนี้บอกทั้งความรู้เดิม ความรู้ผิดๆ แรงบันดาลใจ ความเชื่อ ค่านิยม และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิชานั้นๆ
รายการคำ (Focused Listing. ใช้แรงน้อยทั้งของครูและนักเรียน)
ครูหยิบประเด็นสำคัญขึ้นมาประเด็นหนึ่ง ที่อาจเป็นชื่อ หลักการ หรือความสัมพันธ์ ให้นักเรียนเขียนรายการคำที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อาจให้เวลาเพียง ๒ นาที หรืออาจนานถึง ๑๐ นาที และอาจใช้เทคนิคจับคู่ - จับสี่แลกเปลี่ยน ด้วยก็ได้
เป็นเทคนิคกระตุ้นความรู้เดิมของนักเรียน สำหรับนำมาต่อความรู้ใหม่
ตารางความจำ (Memory Matrix. ใช้แรงครูปานกลาง ใช้แรงนักเรียนน้อย)
ช่วยกระตุ้นการทบทวนความจำ และการจัดระบบความรู้ และช่วยกระตุ้นการเรียนด้วยสายตา ครูทำตารางที่มีจำนวนช่องแนวดิ่ง และแนวนอน ตามสาระเรื่องที่เป็นโจทย์ พร้อมทั้งระบุชื่อของแต่ละช่องแนวดิ่งและแนวนอน ให้นักเรียนกรอกคำที่เหมาะสมลงไปในแต่ละช่อง
ประเด็นที่ไม่ชัดเจนหรือซับซ้อนที่สุด (Muddiest Point. ใช้แรงน้อยทั้งของครูและนักเรียน)
ให้นักเรียนเขียนบอกประเด็นที่ไม่ชัดเจนที่สุดในบทเรียน เอกสารหรือวัสดุประกอบการเรียน ในตอนจบบทเรียน ครูนำไปอ่านและรวบรวมประเด็น แล้วนำมาอภิปรายกับนักเรียนในการเรียนคาบต่อไป ของวิชานั้น
แผนที่หลักการ (Concept Map. ใช้แรงปานกลางถึงสูงทั้งของนักเรียนและครู)
ได้กล่าวรายละเอียดแล้วในบันทึกชุดนี้ตอนที่ ๒๗ เป็นเครื่องมือตรวจสอบวิธีจัดระบบความรู้ ของนักเรียน
เอกสารรายละเอียดของโครงการ (Paper or Project Prospectus. ใช้แรงปานกลางถึงสูงทั้งของนักเรียนและครู)
เครื่องมือนี้เป็นการเรียนแบบโครงงาน (Project-Based Learning) ในตัวของมันเอง โดยครูให้โจทย์ และให้คำถามนำจำนวนหนึ่งเป็น scaffolding ให้ทีมนักเรียนไปยกร่าง นำมาส่งครู เป็นขั้นตอนแรกของการประเมินชั้นเรียน แล้วโครงการก็ดำเนินต่อ และมีการประเมินเป็นระยะๆ
ข้อขัดแย้งเชิงจริยธรรมประจำวัน (Everyday Ethical Dilemmas. ใช้แรงปานกลางถึงสูงทั้งของนักเรียนและครู)
เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนจากกรณีศึกษา (ตอนที่ ๒๐) โดยครูเขียนคำถาม ๒ - ๓ คำถาม ให้นักเรียนเขียนแสดงจุดยืนของตน ไม่ต้องลงชื่อ เป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนพัฒนาทักษะเชิงจริยธรรม และช่วยให้ครูได้รับทรางว่าศิษย์เรียนรู้ก้าวหน้าเพียงใด
สำรวจความมั่นใจ (Self-Confidence Survey. ใช้แรงต่ำถึงปานกลางทั้งของนักเรียนและครู)
ครูออกแบบสำรวจความมั่นใจในการลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่ต้องเรียนรู้ในรายวิชา แล้วนำผลมาจัดกิจกรรมเสริมให้นักเรียนเกิดทักษะในการทำกิจกรรมนั้น
บรรยายแล้วหยุด (Punctuated Lectures. ใช้แรงต่ำทั้งของนักเรียนและครู)
หลังจากบรรยายไปช่วงหนึ่ง หรือจบการสาธิต ครูหยุดให้นักเรียนเขียนการสะท้อนคิด (โดยไม่ลงชื่อ) ว่าระหว่างที่อาจารย์สอนนักเรียนทำอะไร ที่ช่วยเสริมหรือขัดขวางการเรียนรู้ของตนเอง ครูนำข้อเขียนกลับไปอ่านภายหลัง แล้วนำประเด็นที่ได้มาอภิปรายกับนักศึกษาในการเรียนคาบต่อไป ว่านักเรียนจะเพิ่มทักษะการฟัง และการตรวจสอบตนเองได้อย่างไร
บัตรประยุกต์ (Application Cards. ใช้แรงต่ำทั้งของนักเรียนและครู)
ในตอนท้ายคาบเรียน หรือหลังจากเรียนไประยะหนึ่งในคาบ ให้นักเรียนเขียนลงบนบัตรหรือกระดาษ ว่าความรู้ที่กำลังเรียนอยู่นั้น มีที่นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงอย่างไร ครูเก็บไปตรวจที่บ้าน แล้วเลือกข้อเขียนที่ดีที่สุดจำนวนหนึ่งมาอ่านให้ชั้นเรียนฟังในคาบเรียนต่อไป
RSQC2 (Recall, Summarize, Question, Connect, and Comment. ใช้แรงต่ำถึงปานกลางทั้งของนักเรียนและครู)
เริ่มจากให้นักเรียบทบทวนสาระจากคาบเรียนที่แล้ว หรือจากเอกสารที่ได้รับมอบหมายให้อ่าน ทำรายการประเด็นสำคัญที่สุด ขั้นตอนที่ ๒ ให้เขียนสรุปแต่ละประเด็นด้วยประโยคเดียว ขั้นที่ ๓ ให้เขียนคำถาม หนึ่งถึงสองคำถามเกี่ยวกับประเด็นนั้นๆ ขั้นที่ ๔ ให้เชื่อมโยงแต่ละประเด็นเข้ากับความรู้อื่น และขั้นตอนสุดท้ายให้เขียนประเมินรายวิชา เช่น สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือ…, สิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์มากที่สุดคือ…
การให้คำแนะนำป้อนกลับเพื่อปรับปรุง (Formative Feedback)
การให้คำแนะนำป้อนกลับเพื่อปรับปรุง เป็นเครื่องมือของการเรียนและการสอน คือมีประโยชน์ทั้งต่อการเรียนของนักเรียน และต่อการทำหน้าที่ "สอน" ของครู (สอนแบบไม่สอน!) ให้บรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้สูงขึ้น
ต่อไปนี้เป็นแนวทางทำให้คำแนะนำป้อนกลับก่อผลดีต่อศิษย์ยิ่งขึ้น
แฟ้มผลงานนักศึกษา
แฟ้มผลงานนักศึกษา (Student Portfolios) แตกต่างจากเครื่องมือประเมินความก้าวหน้า ของการเรียน อื่นๆ ที่ครูไม่สนใจว่าผลงานเป็นของใคร และเป็นการประเมินครั้งเดียว แต่แฟ้มผลงานนักศึกษาเป็นของ นักศึกษาแต่ละคน และเป็นบันทึกระยะยาว ที่ช่วยให้เห็นความก้าวหน้าในการเรียนของนักศึกษาแต่ละคน
แฟ้มผลงานนักศึกษา เป็นการรวบรวมตัวอย่างชิ้นงานที่นักศึกษากับอาจารย์ร่วมกันเลือก มีข้อเขียนสะท้อนความคิดของนักศึกษาว่าชิ้นงานนั้นได้ก่อความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนอย่างไร อาจทำเป็นแฟ้มเอกสาร เป็นสมุดเย็บเล่ม หรือเป็น เว็บไซต์ ซึ่งเรียกว่า electronic portfolio (e-portfolio) แล้วอาจารย์ตรวจและให้คะแนนตอนปลายเทอม เน้นตรวจภาพรวมและส่วนข้อเขียนสะท้อนความคิด
ในหนังสือ บอกรายละเอียดของการจัดการแฟ้มผลงานนักศึกษาให้เกิประโยชน์ หลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ซึ่งจะไม่นำมากล่าว
จากการประเมินชั้นเรียนสู่วิชาการด้านการเรียนการสอน
หากอาจารย์ดำเนินการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนของนักเรียน และข้อเรียนรู้ปรับปรุงการทำงานของตน และเก็บข้อมูลไว้อย่างเป็นระบบ ก็จะสามารถทำงานวิจัยชั้นเรียน และเสนอผลงานตีพิมพ์ เป็น Scholarship of Teaching and Learning ซึ่งอาจารย์ต้องอ่านวารสารด้านนี้ รวมทั้งอ่านทบทวนทฤษฎีด้าน ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory) และจิตวิทยาการเรียนรู้ (Cognitive Psychology) เพื่อหาประเด็นความรู้ส่วนที่ต้องการการต่อเติม สำหรับเขียนนำเสนอข้อสังเคราะห์จากข้อมูลและประสบการณ์ของตน
วิจารณ์ พานิช
๘ ธ.ค. ๕๗
โรงแรม Thistle, The Royal Trafalgar, ลอนดอน
ขออนุญาต นำไปถ่ายทอดครับ ครู