ต่อนะครับ
11. เกณฑ์ในการวัดของประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่ความสอดคล้องของมันกับข้อเท็จจริง แต่เป็นความสามัคคีระหว่างเรื่องเล่า กับข้อเท็จจริง
12. การสร้างความสามัคคี ก็มีทั้งการรวมกันเข้า และการแยก หรือการไม่เอาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
13. นักประวัติศาสตร์ที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์ น่าจะตอบคำถามเหล่านี้ โดยการแบ่งออกเป็น 3 คำอธิบาย
13.1 สร้างโครงเรื่อง (emplotment)
13.2 สร้างข้อเสนอ (argument)
13.3 สร้างอุดมการณ์ (ideology)
14. มีรูปแบบของการสร้างโครงเรื่อง (emplotment) อยู่ 4 อัน ดังนี้
14.1 Romance เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชัยชนะของวีรบุรุษ เหนือความเลวร้าย
14.2 Satire เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโลก จนกระทั่งเขาตาย
14.3 Comedy เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความประสานสอดคล้อง ระหว่างธรรมชาติและสังคม ที่ก่อให้เกิดการเฉลิมฉลอง
14.4 Tragedy เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษ ที่ต้องเจอกับความทุกข์ทรมาน หรือการทดสอบ ภายใต้ข้อจำกัดของโลก เพื่อให้ผู้อ่านได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
15. ข้อเสนอ (argument) หมายถึง ทัศนะของนักประวัติศาสตร์ในเรื่อง ประวัติศาสตร์ควรจะเป็นอะไร ในที่นี้มีข้อเสนออยู่ 4 ประการ ได้แก่ formalist, organist, mechanistic, และ contextualist
15.1 Formalist เป็นข้อเสนอที่หน่วยทางประวัติศาสตร์หน่วยใดสามารถปกครองตนเอง โดยมีสามารถที่จะแยกประเภท, ให้ฉลาก และแบ่งกลุ่มได้
15.2 Organist หมายถึง ส่วนหนึ่งที่เป็นปัจเจกถูกกำหนดโดยส่วนที่ใหญ่กว่า (ส่วนที่ใหญ่กว่า มีความหมายมากกว่าส่วนอื่นๆรวมกัน)
15.3 Mechanistic หมายถึง การค้นหากฎ และผล ที่ส่งผลต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
15.4 Contextualist หมายถึง เหตุการณ์หลายเหตุการณ์ ที่นำไปสู่ต้นกำเนิด
หนังสืออ้างอิง
Vick Rea. (2015). Metahistory. http://www.lehigh.edu/~ineng/syll/syll-metahistory.html
ไม่มีความเห็น