Within Tokyo ตอนที่ 4 ตะลุยโตเกียว วัดอาซากุสะ สะพานแว่นตา พระราชวังอิมพีเรียล ศาลเจ้ายาสุคุนิ ศาลเจ้าเมจิ ย่านฮาราจุกุ ชิบุย่า อากิฮาบาร่า


ตะลุยโตเกียว

วันนี้เป็นวันที่เราจะเจาะลึกโตเกียวกันแล้ว เพราะตั้งแต่มา ยังไม่ได้เที่ยวโตเกียวจริงๆ เลย ตื่นแต่เช้าเช่นเคย หลังจากกินอาหารและกาแฟ ที่ห้องอาหารของโรงแรมเรียบร้อยแล้ว เริ่มต้นการเดินทางกัน อ้อ เด็กเล่าว่า ตอนแม่ล้างจานและเด็กเปิดไอแพดดูการ์ตูนนักเตะแข้งสายฟ้ารอแม่ที่โต๊ะอาหาร มีคนมาถามด้วยว่า Are you come from Indonesia? เค้าก็ตอบว่า No. I come from Thailand and Where are you come from? คือ เด็กผิวคล้ำค่ะ เค้าคงจะคิดว่ามาจากอินโดนีเซียเหมือนกัน

แวะที่แรกเลยก็คือศาลเจ้าหน้าปากซอยทางเข้าโรงแรม เล็กและเงียบสงบดีมากเลยค่ะ เพราะว่าไม่มีคนเลยนั่นเอง

จากนั้นเดินข้ามถนน ไปตามทางนี้ค่ะ เพื่อจะไปชมวัดเซนโซจิ ถนนยามเช้าว่างมาก

เดินผ่านร้านดัง ดองกี้ สาขาอาซากุสะ ยังไม่เคยได้แวะซักทีค่ะ อันที่จริงเดินผ่านทุกวันเลย แต่ผ่านตอนกลางคืนในสภาพโลแบตเตอรี่ ก็เลยยังไม่ได้แวะ วันนี้ก็เช่นเคย ยังไม่แวะเพราะไม่อยากจะขนของที่ซื้อไปเที่ยวด้วย แต่ร้านนี้เค้าเปิด 24 ชั่วโมง เดี๋ยวค่อยมาซื้อวันไหนก็ได้ค่ะ คงต้องแวะซักวัน...

ถึงแล้วค่ะ วัดอาซากุสะ หรือวัดเซนโซจิ ที่อยู่ย่านเดียวกับที่พัก ยังเช้าอยู่คนยังไม่ค่อยมา จัดมุมมหาชนไปซักหน่อยค่ะ มาที่นี่ต้องมาถ่ายรูปกะโคมนี้หน้าวัด

เดินผ่านเข้าไปด้านใน ร้านค้าก็ยังไม่ค่อยเปิด ขณะนั้นเวลาประมาณ 8.30 น.

บางร้านก็เปิดแต่เช้าค่ะ อย่างร้านนี้ขายขนม

ร้านนี้ขายเนคไท หมวกขนาดต่างๆ สีสันสวยงาม

ซอยด้านขวามือ เห็นโตเกียวสกายทรีลิบๆ

ถึงแล้วค่ะ ประตูเข้าวัดชั้นที่ 2

เข้าไปด้านในมีร้านขายเครื่องราง กระถางธูป และอ่างน้ำสำหรับทำความสะอาดมือ และล้างปาก

เดินขึ้นไปทางนี้กันเลยค่ะ

เดินเข้ามาแล้วกลับหลังหันไปถ่ายรูป ก็จะได้วิวนี้

ด้านบนเพดาน มีรูปภาพมังกร นางฟ้า คงจะเหมือนบ้านเราที่จะมีภาพวาดเล่าเรื่องราวต่างๆ ตามผนังโบสถ์นั่นเอง

เดินดูโน่นดูนี่จนหนำใจแล้ว ก็เดินออกมาทางประตูข้าง

อลังการ

เห็นรูปปั้นอยู่ ตอนแรกมองไกลๆก็นึกว่าตัวอะไร พอเข้าไปใกล้ๆ ถึงรู้

เค้าพากันมองมาทางนี้ค่ะ เจดีย์นี้นี่เอง

ด้านข้างวัด ยังมีหลายอย่างให้ชมค่ะ มีทั้งพระพุทธรูป ศาลเจ้า และห้องต่างๆ อย่าลืมแวะมาชมความงามด้านข้างด้วยนะคะ

จากวัดก็ต่อด้วยศาลเจ้าซึ่งอยู่ติดกัน มีอาม่ามาไว้ศาลเจ้าด้วยค่ะ เห็นแดดจ้าแบบนี้ แต่ก็หนาวเย็นมากเลยนะคะ พร้อมกับมีลมพัดแถมมาด้วยเป็นพักพัก

เดินเข้ามาทางโทริอิ มาดูด้านในศาลเจ้ากัน

จากนั้นก็เดินออกมาทางร้านค้าเพื่อไปยัง Subway มีร้านเปิดเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งคนก็มาเดินกันเยอะขึ้น ก็ถือโอกาสเดินชมของไปพลางๆ พร้อมกับหมายตาไว้ด้วย 555

เดินออกมาถึงสถานีรถไฟใต้ดินแล้วค่ะ วันนี้เราจะซื้อตั๋วรถไฟ Subway แบบ One day pass ที่สามารถใช้ได้ทั้งของค่าย Toei line และ Tokyo metro line วิธีซื้อก็คือไปซื้อที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ค่ะ เลือก English แล้วก็เลือกที่ One day economic pass ราคา 1000 เยน ต่อคน เด็กราคา 500 เยน คือค่ายรถไฟใต้ดินของญี่ปุ่นนี่เค้าจะมี 2 ค่ายดังกล่าว จำเป็นต้องซื้อแบบที่ใช้ได้ทั้ง 2 ค่าย ซึ่งราคาจะแพงกว่าซื้อค่ายใดค่ายหนึ่ง Trip นี้เด็กเริ่มดูสายรถไฟฟ้าเป็น ช่วยดูสายรถ และช่วยดูทางตอนเดิน ดีจัง เดินตามได้สบาย

ที่ญี่ปุ่นนี่จะไม่ค่อยมีลุกให้เด็กนั่งสักเท่าไหร่ เค้าคงจะสอนให้เด็กอดทน เจ้าเด็กก็ไม่แคร์ ไม่ได้นั่งก็ยืน แต่พอมีที่นั่ง ก็ขอนั่งหน่อยนะค้าบ

ที่แรกที่เราจะไปกันก็คือ เราจะไปถ่ายรูปที่สะพานแว่นตาแถวๆ พระราชวังอิมพีเรียล หลายๆ คนที่เคยไปมาแล้ว คงจะคุ้นตากับวิวเหล่านี้นะคะ

พอไปถึงปรากฎว่ามีตำรวจมากมาย ประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่น โบกให้เราเดินตามคนไปกันเรื่อยๆ เดินตามคนไปสักพัก มีคนมาแจกธงชาติญี่ปุ่น ก็เลยรับมาคนละอัน ตอนรับมาก็พูดว่า "ไฮ้" พร้อมกับค้อมตัวให้เค้า

เดินไปอีกก็มีตรวจค้นกระเป๋า จากนั้นก็ตรวจโลหะ ค้นตัว โอ้ว หลายขั้นตอนมาก และตำรวจไม่พูดภาษาอังกฤษเลย ดูคนข้างหน้าเอาว่าเค้าให้ทำอะไรมั่ง

เดินตามคนไปเรื่อยๆ ถูกตรวจโน่น นี่ นั่น เกือบจะผ่านสะพานแว่นตาละ แต่เค้าเอากรวยกั้นไว้ ระยะกั้นไกลมาก เข้าไปไม่ได้ แถมยังมีตำรวจเฝ้าอยู่ด้วย

เห็นมีคนเข้าไปถ่ายรูปได้ด้วย ก็เลยเดินวกกลับมา พยายามจะขอตำรวจเข้าไปถ่ายรูปมั่ง ซักแป้ปก็ยังดี

ตำรวจก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยยอม แต่มีคนญี่ปุ่นที่คงจะมาเที่ยวเหมือนกันมาช่วยพูด ก็เลยได้ยืนถ่ายแบบรีบๆ คือ เค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลยอ่ะ ไม่เข้าจายยยยย ก็เลยถ่ายได้แค่นี

ปรากฎว่าวันนี้ (23 ธันวาคม) เป็นวันเกิดจักรพรรดิญี่ปุ่น จักรพรรดิอากิฮิโต้ ผู้ที่เอาปลานิลไปถวายในหลวงของเราตอนที่ยังเป็นมงกุฎราชกุมารนั่นเอง ซึ่งทุกวันนี้ของทุกปี จะเปิดพระราชวังอิมพีเรียลให้คนเข้าไปได้ พวกเราเดินเข้าไปในเขตพระราชวังตามคนไปเรื่อยๆ

แล้วไปยืนรอรวมกับชาวญี่ปุ่นที่ยืนรออยู่

สักพักก็มีเสียงประกาศ เค้าก็ยกธงขึ้นมาโบก เราก็โบกมั่ง แล้วก็เห็นจักรพรรดิ์และราชวงค์ออกมาโบกมือ แล้วก็พูดให้โอวาท ตัวจริง เสียงจริง แป๊ปเดียวค่ะ ประมาณไม่ถึง 10 นาที ก็เป็นอันเสร็จพิธี

ขยายหน่อยค่ะ

ถือเป็น moment ที่ประทับใจของวันแรกในโตเกียวเลยทีเดียว ด้วยคนที่มาเยอะมาก เด็กก็เลยไม่สามารถมองเห็นได้ ได้แต่ยืนบ่นว่า ซันไม่เห็นอ่ะแม่ ซันไม่เห็นอ่ะ เราก็เลยตัดสินใจใช้พลังเค้น Adrenaline ออกมา แล้วอุ้มเด็ก ป.4 ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเพราะเล่นกีฬา อุ้มที่ขา แล้วชูตัวขึ้นไป จนเด็กบอกว่า เห็นแล้วแม่ เห็นแล้วแม่...อุ้มได้แป้มเดียวก็หมดแรง พอดีท่านให้โอวาทเสร็จ เด็กเล่าด้วยความตื่นเต้นว่าเห็นจักรพรรดิแล้ว เค้าบอกว่า "ซันนึกว่าจักรพรรดิญี่ปุ่นจะแต่งตัวเป็นชุดประจำชาติ หรือชุดซามูไรออกมา เหมือนในหลวงของเรา ที่จะแต่งชุดทองๆ ออกมาพบพสกนิกรไง"...อืมห์ เด็กหนอเด็ก

…ประเทศไทย ไม่เหมือนแบบนี้ ที่นี่ ไม่มีคนมารอล่วงหน้า 2 วัน ไม่มีปูเสื่อ ไม่มีใครเตรียมรูปภาพมาชูไว้เหนือศีรษะ ไม่มีใครร้องให้ด้วยความปลื้มปิติตอนที่เห็นท่าน ไม่มีทรงพระเจริญ... ยิ่งคิดยิ่งรักในหลวงของเราเหลือเกิน...แต่ก็นั่นแหละ นี่คือวัฒนธรรมของเค้า ซึ่งเราก็ต้องให้ความเคารพด้วยเช่นกัน

จากที่นี่เราเดินตามคนออกไปยังสวนของพระราชวัง คือเดินตามคนไปเรื่อยๆ เพราะเค้าให้ออกทางเดียว ระหว่างทางก็ถ่ายวิวไปเรื่อยๆ

ที่สวนของพระราชวังก็ไม่มีอะไรดูนอกจากต้นไม้ใบไม้ ก็เลยเอาเสบียงมากินกันแก้หิว

จากนั้นก็เดินกลับออกมาเพื่อไปยังสนานีต่อไป แวะถ่ายรูปตอนเดินออกมาเท่าที่จะแวะได้ ตรงนี้เป็นป้อมยามเก่าของพระราชวัง

เดินออกไปทางนี้ค่ะ

ที่ต่อไปที่เราไปกันก็คือศาลเจ้ายาสุคุนิ ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่ทหารญี่ปุ่นที่ไปเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางเข้ามีเสาโทริอิที่ทำจากเหล็กขนาดใหญ่

เดินเข้าไปก็เจอกับอนุเสาวรีย์ สูงมาก

เดินเข้าไปมีร้านอาหารอยู่ทางขวามือ ก็เลยไปซื้อยากิโซบะ คนละห่อมานั่งกินกัน แล้วก็เดินเข้าไปชมศาลเจ้า ก่อนถึงก็จะมีเสาโทริอิชั้นที่ 2 เราเห็นว่าชาวญี่ปุ่นที่มาที่นี่เมื่อเดินไปถึงเสาโทริอิ เค้าจะยืนตรง แล้วก็ก้มศีรษะ 1 ครั้ง เป็นการแสดงความเคารพต่อศาลเจ้า พวกเราก็ทำตาม...

เดินผ่านเสาโทริอิเข้าไป ผ่านประตูศาลเจ้า ด้านในเช่นเคย มีน้ำให้ล้างมือ ล้างปาก

ด้านในมีชาวญี่ปุ่นมาเข้าคิวเพื่อแสดงความเคารพ ก็เลยไปเข้าคิวกะเค้าและทำตามเค้า วิธีทำก็คือ อยู่ในคิว เดินใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เงียบ ไม่พูดกัน พอถึงคิวเราอยู่แถวหน้า ก็โค้ง 2 รอบ จากนั้นตบมือ 2 ที โยนเงินเข้าไป แล้วก็โค้งอีก 2 รอบ เป็นอันจบพิธี (อันนี้แอบดูคนข้างหน้าว่าเค้าทำยังไง)

ว่าแล้วก็เข้าไปต่อคิวเลยค่ะ เสร็จแล้วก็มาเก็บภาพกัน

ตั้งแต่ออกจากวัดอาซากุสะ เรายังไม่ได้ยินเสียงคนไทยเลยค่ะ คือ ที่วัดอาซากุสะ คนไทยเพียบเลยค่ะ ยิ่งที่นี่ คงจะมีแต่พวกเราที่เป็นชาวไทย...ต่อด้วยย่านฮาราจูกุ ที่มีสถานีฮาราจูกุอันสวยงาม เดินทางด้วยรถไฟฟ้าเช่นเคย ไม่มีที่นั่งเช่นเคยค่ะ

สถานีฮาราจูกุค่ะ

ฝั่งถนนอีกด้านก็จะเป็นห้างสรรพสินค้ามากมาย

ก่อนไปเดินชมย่านนี้ เราพากันไปศาลเจ้าเมจิ ที่ทุกคนที่มาเยือนโตเกียวจะต้องไม่พลาด เดินเข้าไปไกลโขอยู่ ที่นี่เราเคยมาแล้วครั้งนึงตอนมากะทัวร์เมื่อหลายปีก่อน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม คนญี่ปุ่นนี่ช่างอนุรักษ์ไว้ไ้ด้ดีจริงๆ ทางเข้าเดินเป็นกิโลเลย ไม่น่าเชื่อว่า นอกฝั่งของต้นไม้ใหญ่ จะเป็นย่านฮาราจูกุอันเลื่องชื่อนั้น

ทางเข้าศาลเจ้าเมจิก็มีเสาโทริอิเช่นเคย

ใกล้ถึงละ เสาโทริอิชั้นที่ 2

ด้านในคนก็พอประมาณค่ะ ได้ยินเสียงภาษาไทยเพียบเลย

ต่อคิวแสดงความเคารพกันก่อนตามธรรมเนียม เห็นกระเป๋าเป้ที่เย็บเองกะมือมั๊ยคะ ไปหลายทริปแล้วนะคะเป้อันนี้

กิจกรรมอันนึงของเด็กเวลามาศาลเจ้าก็คือ ไปหาดูป้ายภาษาไทยว่ามีรึป่าว

มีพิธีแต่งงานด้วยค่ะ

ชมกันพอหอมปากหอมคอแล้วก็เลยเดินออกมาถนนคนเดินที่ย่านฮาราจูกุกัน คนเยอะมากมากค่ะ มาช้อปปิ้งกัน มีคนแต่งตัวเป็นซานต้าขับมอไซค์มาติดไฟแดงอยู่ ก็เลยถ่ายรูปซะเลย

รถคันนี้พกเจ้าขนฟูมาโชว์ด้วยค่ะ

ข้ามทางม้าลายมาแล้วหันกลับไปถ่ายรูปสถานีฮาราจูกุ คลาสสิคมาก

ถนนคนเดิน วัยรุ่นชอบมาเดินกัน ต้องไปซะหน่อย พวกเรายังวัยรุ่นกันอยู่เลยนี่นา โอ้โห คนเยอะจริง จริง

เดินเข้าไปชมบรรยากาศที่ร้าน 100 เยนซะหน่อย ระลึกความหลัง จากนั้นก็เดินจากร้าน 100 เยนมาช้อปปิ้งต่อ ได้ร่มมา 2 อัน เค้าบอกว่าถ้าโขว์ Passsport จะได้ลดราคาก็เลยจัดไปซะเลยค่ะ อากาศเริ่มเย็นลงมากแล้ว ลมก็แรงซะด้วย เดินพอได้บรรยากาศ ก็ชวนกันออกมา เดินเล่นร้านข้างนอกถนนอีกหน่อย ดูของเป็นการพักไปในตัวเพราะเริ่มล้าจากการเดินทั้งวัน

ยังค่ะ ยังไม่เลิก ไปต่ออีกที่ชิบูย่า จะไปดูอนุเสาวรีย์หมาฮาจิโกะ เดินออกมาจากสถานีรถไฟฟ้า ก็จะเจออนุเสาวรีย์หมาตัวนี้ค่ะ ไปถ่ายรูปด้วยซะหน่อย เป็นมุมมหาชนนี่นา คนมาเดินกันเยอะมากที่ย่านนี้ มาจากไหนกันนะ เยอะขนาดนี้

ถ่ายรูปกับฮาจิโกะ แล้วก็มาหาที่นั่ง ดื่มด่ำบรรยากาศกันค่ะ (จริงๆ ปวดขาม้ากกก ขอพักแป้ป)

ต่อด้วยย่านกินซ่า เป็นห้างที่มีของแบรนด์เนมต่างๆ ไปดูบรรยากาศกันเฉยๆ ย่านนี้รถติดมาก

จากนั้นไปย่านอากิฮาบาร่า ที่นี่เราไปซื้อนาฬิกาให้เด็ก ราคา 5120 เยน ถูกอกถูกใจซะเหลือเกิน ได้ฝาปิดหน้ากล้อง lumix ของแท้มาซะด้วย (ทำหายที่มาเก๊า)

ราคา iphone 6 ที่ญี่ปุ่นค่ะ

ขากลับเดินมาทางวัดอาซากุสะ ถ่ายรูปวัดยามดึกสักนิด สวยไปอีกแบบนะคะ

มีป้ายของโรงเรียนอนุบาล ห้ามถ่ายรูป เป็นภาษาไทยด้วย (พูดไม่ออกเลย)

สวยดีนะคะ ภาพถ่ายวัดกลางคืนแบบนี้

โตเกียวสกายทรี ต่างมุม ต่างเวลา

หมดแรงแล้ว ไปมากี่ที่เนี่ยวันนี้นับไม่หวาดไม่ไหว ก่อนเข้าห้องพักก็แวะซื้อเบนโตะกลับมากินตามเคย นอกจากเบนโตะคนละกล่องแล้ว วันนี้มีซื้อข้าวปั้นปลาแห้ง (เคยกินในฟูจิบ้านเรา) ราคา 100 เยน กับเกี๊ยวซ่า เป็นของกินเล่นมาด้วยค่ะ พักผ่อนตามอัธยาศัย เก็บแรงไว้ลุยโตเกียวพรุ่งนี้ต่อ อีกหลายโปรแกรมรออยู่ค่ะ

คำสำคัญ (Tags): #โตเกียว#tokyo
หมายเลขบันทึก: 583615เขียนเมื่อ 7 มกราคม 2015 21:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม 2015 21:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท