ช่วงนี้พี่น้องภาคใต้ก็จะประสบพบเจอกับปัญหาฝนตก ฝนชุก เปียกเฉอะแฉะไปตามๆกัน เพราะลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือได้พัดพาหอบเอาความชื้นจากอ่าวไทยขึ้นไปกลายเป็นฝนตกในพื้นที่ภาคใต้ จึงทำให้พื้นที่ด้านล่างหรือภาคใต้ของไทยเรานั้น อยู่ในเขตพื้นที่ที่เขาเรียกกันว่า "ฝนแปด แดดสี" คือมีฝนแปดเดือน และฤดแล้ง 4 เดือน ดังนั้นในห้วงช่วงที่ฝนเริ่มตกใหม่ๆ ละอองหรือสปอร์ของเชื้อโรคเมื่อได้รับความชื้นสัมพัทธ์จากบรรยากาศที่เพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้หน่วงหนักตกหล่นร่วงลงมาสู่พื้นดินและกิ่งก้านใบของพืช จึงทำให้มักเกิดปัญหาโรคระบาดจากเชื้อราเข้าทำลายในรูปแบบต่างๆ ทั้งโรคใบดำ ใบจุด ใบด่าง ใบดำ ใบไหม้ ฯลฯ
แต่ปัญหาหนักอีกด้านหนึ่งก็คือ ปัญหาโรครากเน่าที่เกิดขึ้น เงาะ ลองกอง ทุเรียน ปาล์ม และยางพารา มักจะมีปัญหารากเน่าโคนเน่า และการใช้สารเคมีปราบเชื้อราจากสารเคมีที่มีพิษรุนแรง ก็มักจะทำให้จุลินทรีย์หรือสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์มีอันต้องล้มหายตายจากตามไปด้วยเป็นจำนวน ทำให้ระบบการพึ่งพิงอิงอาศัยซึ่งกันและกันด้อยลง ในระยะยาวพืชจึงต้องพึงพาอาศัยการคุ้มครองป้องกันจากน้ำมือมนุษย์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะการที่ดินเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่อย่างหลากหลายแล้วกลับเปลี่ยนเป็นดินตาย....พืชจึงขาดแคลนอาหารที่จะได้จากธรรมชาติที่ผลิตได้จากจุลินทรีย์และไส้เดือน ฯลฯ ไป
แท้จริงแล้วเกษตรกรยังมีทางเลือกอื่นๆอีกมากมายในการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีนั่นก็คือการใช้จุลินทรีย์ชีวภาพปราบเชื้อราที่เกี่ยวกับโรครากเน่าโคนเน่าอย่างเจ้า "ไตรโคเดอร์ม่า" โดยเฉพาะการใช้ในรูปแบบที่ปลอดภัยไร้สารพิษ และที่สำคัญต้องพิชิตต้นทุนด้วยนะครับ นั่นก็คือแทนที่จะใส่แบบอัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ราดรดหรือพ่นทันที หรือในอัตรา 1 กำมือหว่านโรยรอบทรงพุ่มโคนต้น ก็ให้เปลี่ยนมาหมักขยายกับรำละเอียดในอัตรา ไตรโคเดอร์ม่า 1 กิโลกรัมคลุกผสมกับรำละเอียดในอัตรา 10 กิโลกรัมหรือไม่มีก็ใช้ลำพรวนข้าว (ละอองข้าวหรือคายข้าว) ก็ได้นะครับ คลุกเคล้าให้เข้ากันในครั้งที่หนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้วนำไปคลุกเคล้ากับปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกอีก 50 กิโลกรัมพรมน้ำให้พอชุ่มชื้นคลุมด้วยผ้าแสลนด์หรือใต้โคนร่มไม้ใหญ่หมักทิ้งไว้ 3 คืนแล้วค่อยนำมาหว่านให้ทั่วโคนต้นใต้ทรงพุ่มเพียงไม่นานประมาณสองสามสัปดาห์อาการดังกล่าวก็จะดีขึ้นและหายไปครับ
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreengro.com
ไม่มีความเห็น