บันทึกชุด "สอนอย่างมือชั้นครู" ๓๔ ตอน ชุดนี้ ตีความจากหนังสือ Teaching at Its Best : A Research-Based Resource for College Instructors เขียนโดย Linda B. Nilson ซึ่งเป็นฉบับพิมพ์ปรับปรุงครั้งที่ ๓ ผมขอเสนอให้อาจารย์ในสถาบันการศึกษาไทยทุกคน หาหนังสือเล่มนี้อ่านเอง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ เพราะหากติดตามอ่านจากบันทึกใน บล็อก ของผม ซึ่งลงสัปดาห์ละตอน จะใช้เวลากว่าครึ่งปี และการอ่านบันทึกของผมจะแตกต่างจากการอ่านฉบับแปล หรืออ่านจากต้นฉบับโดยตรง เพราะบันทึกของผมเขียนแบบตีความ ไม่ได้ครอบคลุมสาระทั้งหมดในหนังสือ
ตอนที่ ๑๙ นี้ ตีความจาก Part Four : More Tools : Teaching Real-World Problem Solving มี ๕ บท ตอนที่ ๑๙ ตีความจากบทที่ 18. Inquiry-Guided Learning
สรุปได้ว่า การเรียนโดยตั้งคำถาม หรือโดยให้ความท้าทายนั้น การตั้งคำถามหรือให้ความท้าทายนั้น อาจให้โดยอาจารย์ หรือนักศึกษาให้แก่ตนเองก็ได้ มีเป้าหมายเพื่อฝึกการคิดในระดับสูง (higher-order thinking) จากการที่นักศึกษาเป็นผู้ลงมือทำกิจกรรมเพื่อตอบคำถาม หรือสร้างสรรค์ชิ้นงาน แล้วทบทวนไตร่ตรอง ทำความเข้าใจทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
การเรียนโดยการคำถาม มีคำภาษาอังกฤษ ๔ คำคือ Inquiry-Guided Learning, Inquiry-Based Learning, Inquiry Learning และ Guided Inquiry แต่ละคำมีความหมายที่แตกต่างกันบ้างในรายละเอียด
นิยาม
มีนิยามของการเรียนโดยตั้งคำถาม ที่แตกต่างกัน ๓ แนว
แนวที่ ๓ นี้ คำท้าทายอาจแคบนิดเดียว ทำได้เสร็จภายในเวลาไม่กี่นาที ไปจนถึงเป็นโจทย์ใหญ่ขนาดต้องทำเป็นโครงงาน ใช้เวลาทั้งเทอม ในแนวนี้ มองการเรียนโดยตั้งคำถาม เป็นร่มใหญ่ของการเรียนอีกหลายแบบ ได้แก่ การเรียนโดยใช้กรณีศึกษาเป็นฐาน (Case-Based Learning), การเรียนแบบค้นพบ (Discovery Learning), การเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning), การเรียนแบบใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning), และการสอนแบบ ณ เวลานั้น (JiTT – Just-in-time-teaching) ทั้งหมดนี้ รวมเรียกว่า "การสอนแบบอุปนัย" (Inductive Teaching) ซึ่งเป็นการสอนแบบให้ทำงานแก้ปัญหาจริง นักศึกษาต้องหาข้อมูล ความเป็นจริง และหลักการ เพื่อนำมาสังเคราะห์ ใช้แก้ปัญหา
หนังสือเล่มนี้จะเดินเรื่องต่อไปด้วยนิยามแนวที่ ๓
ผลที่ได้รับ
การเรียนโดยตั้งคำถามทุกแบบ มีธรรมชาติเป็นการเรียนแบบอุปนัย (Inductive Learning) ซึ่งนักศึกษาต้องใช้กระบวนการคิดในระดับสูง (higher order thinking) ในกระบวนการรวบรวม และทำความเข้าใจข้อมูล โดยการวิเคราะห์ข้อมูล ประเมินหลักฐาน และนำไปใช้แก้ปัญหาหรือดำเนินการ แล้วสังเคราะห์ออกมาเป็นความรู้ความเข้าใจในระดับสูง ซึ่งในบางกรณีอาจไปถึงการพัฒนาวิธีการเรียนรู้ (Cognitive Development) หรือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
แต่ก็มีผลการวิจัย ที่ชี้ว่าวิธีเรียนโดยการตั้งคำถาม ไม่มีผลดีต่อการเรียนรู้ในวิชาการศึกษาทั่วไป และมีผลดีต่อนักศึกษาที่ผลการเรียนต่ำ น้อยกว่าผลดีต่อนักศึกษาที่ผลการเรียนสูง
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ต่อการเรียนรู้แบบนี้ ก็เหมือนกับผลลัพธ์จากการเรียนรู้แบบอื่นๆ ที่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสอนของอาจารย์ ในการชี้นำ และสร้างโครง (scaffolding) โดยการตั้งคำถาม หรือให้ความท้าทาย
ผลงานวิจัยบอกว่า การเรียนโดยการตั้งคำถาม แบบที่อาจารย์ช่วยน้อยที่สุด ที่เรียกว่า การเรียนแบบ ค้นพบเอง (Discovery Learning) ไม่ได้ผล ซึ่งหมายความว่า การเรียนแบบ Constructivism ไม่ใช่ว่าจะดี ไปเสียทั้งหมด ยังมีส่วนที่เป็นข้อจำกัดด้วย ซึ่งจะแก้ข้อจำกัดได้ด้วยการแนะนำของอาจารย์ ๒ แบบ (๑) ยกตัวอย่างที่ได้ผลดี (๒) เอกสารคำแนะนำกระบวนการ สำหรับเป็นนั่งร้านความคิด
เป้าและวิธี
เป้าสำหรับตั้งคำถาม อาจกำหนดโดยนักศึกษาเอง หรืออาจารย์ตั้งให้ หากจะให้นักศึกษาตั้งเอง ก็ต้องให้เวลาเรียนรู้ยาว หากเวลามีจำกัด อาจารย์น่าจะต้องกำหนดเป้าให้ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างเป้า
ในกรณีที่อาจารย์สอนวิชาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ มีแนวทางตั้งคำถาม หรือความท้าทายให้แก่นักศึกษา ดังต่อไปนี้
ลูกเล่นของวิธีการ
การเรียนโดยการตั้งคำถาม ที่อาจารย์ถามนำไม่มาก ให้นักศึกษาตั้งคำถามเองเป็นส่วนใหญ่ ใช้ได้ดีในนักศึกษาที่มีพื้นความรู้แน่น หรือมีความมานะพยายามสูง ซึ่งก็หมายความว่า มีวิธีลดหรือเพิ่มความยากของความท้าทายได้มากมาย
Just-in-time Teaching
ก่อนเวลาในชั้นเรียนไม่นาน นักศึกษาได้รับคำถามความรู้ในระดับหลักการ (conceptual) เป็นคำถามปรนัยหลายตัวเลือก โดยใช้ course management system (ทางอินเทอร์เน็ต) เมื่ออาจารย์ได้คำตอบ ก็นำมาใช้ออกแบบชั้นเรียนให้เหมาะสม เพื่อตั้งโจทย์ท้าทายที่จะช่วยแก้ความเข้าใจผิดของนักศึกษา ช่วยให้ความรู้เดิมถูกต้อง นำมาต่อยอดความรู้ใหม่ได้
เนื่องจากคำถาม เป็นการถามสิ่งที่ยังไม่ได้เรียนในชั้น การตั้งคำถามจึงถือเป็นกระบวนการอุปนัย (inductive)
มีผลการวิจัยในสหรัฐอเมริกา ที่ให้ผลว่านักศึกษาชอบวิธีนี้ ทำให้นักศึกษาเข้าชั้นเรียนมากขึ้น อย่างชัดเจน แต่ข้อด้อยคือ อาจารย์ต้องทำงานหนักขึ้น ในการคิดโจทย์ก่อนชั้นเรียน
การเรียนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning)
การเรียนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน กับการเรียนโดยการรับใช้สังคม (Service-learning) จัดอยู่ในกลุ่ม เดียวกัน เป็นการเรียนโดยได้รับมอบหมายให้ทำชิ้นงาน มักเป็นการทำงานกลุ่ม เพื่อออกแบบ หรือสร้างสรรค์ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นเครื่องมือ ออกแบบสถาปัตยกรรม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ การนำเสนอแบบมัลติมีเดีย เว็บไซต์ ชิ้นงานศิลปะ การวิจัย
วิธีการเรียนแบบนี้ ทำให้นักศึกษาเกิดความเข้าใจหลักการ ทักษะแก้ปัญหา และเรียนสนุก กว่าการเรียนแบบเก่าๆ ผลการสอบเนื้อวิชาเท่ากัน หรือดีกว่า
ข้อด้อยคือ หากเป็นโครงงานขนาดใหญ่ ใช้เวลามาก อาจใช้เวลาของวิชาอื่น รบกวนการเรียนตามปกติ นอกจากนั้น การทำงานกลุ่มอาจเกิดความขัดแย้งในกลุ่ม ทำให้นักศึกษาบางคนไม่ชอบ
เทคนิคอื่นๆ
เนื่องจากวิธีเรียนโดยตั้งคำถาม แบบกรณีศึกษา (case method) และแบบปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) เป็นแบบที่นิยมใช้กันมาก และมีความซับซ้อนสูง จึงจะเป็นสาระในตอนต่อไปสองตอน
ผมขอแถมความเห็นส่วนตัวว่า การเรียนโดยการตั้งคำถาม หรือโดยการท้าทาย ที่นักศึกษาต้องทำงาน แก้ปัญหาหรือผลิตชิ้นงาน อาจารย์ต้องไม่เข้าใจผิดว่าเมื่อนักศึกษาทำชิ้นงานได้สำเร็จแล้ว ก็หมายความว่า นักศึกษาได้เรียนรู้อย่างถ่องแท้แล้ว จริงๆ แล้วนักศึกษาอาจยังเรียนรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น จะให้เรียนรู้อย่างลึก อาจารย์ต้องชวนนักศึกษาทำกระบวนการทบทวนไตร่ตรอง (reflection / AAR) โดยตั้งคำถามเชิงทฤษฎี ให้นักศึกษาหมุนเวียนกันให้ความเห็น โดยตีความจากประสบการณ์ในการทำชิ้นงาน
วิจารณ์ พานิช
๔ ก.ย. ๕๗
ไม่มีความเห็น