ผมขับรถขึ้นไปจอดบนอาคารจอดรถของโรงพยาบาล พร้อมๆกับการฟังเพลงจากสถานีวิทยุประจำมหาวิทยาลัย ช่วงเวลาตอนนี้เขาเปิดเพลงลูกทุ่งชนิดโบราณ ปกติผมไม่ค่อยได้ฟังช่วงนี้เพราะเป็นช่วงเวลาทำงานหาเลี้ยงชีพ ยกเว้นเย็นวันศุกร์ที่พอจะได้ฟังบ้าง แต่ก็ต้องคอยแย่งกับคุณจ้า ซึ่งอยากจะฟังเพลงจากซีดีมากกว่า
เขาได้เปิดเพลงแหล่ "ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่"
ผมไม่ได้ยินเพลงนี้มานานมากแล้ว ครั้นเมื่อได้ยิน จึงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ แล้วพาลนึกไปถึงโรงหนังอุดมรัตน์ โรงหนังชั้นเดียวที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมสูงในช่วงที่ผมมีอายุไม่น่าจะเกิน ๑๐ ปี ผมนึกถึง "ครูบ้านนอก" "ซุปเปอร์แมน" และ "ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่" ผมนึกเห็นหน้าปิยะ ตระกูลราษฎร์ ที่แสดงเป็นลูกชาย "ไอ้ทอง" นึกถึงป้าทองที่แสดงเป็นแม่ นึกถึงตอนที่ตัวเองน้ำตาไหลหยดเป็นเผาเต่าตอนที่แม่ถูกตีด้วยท่อนไม้ นึกเห็นฉากที่ลูกชายกำลังจะถูกประหารชีวิตและมีวิญญาณแม่มายืนอยู่ตรงหน้า
ในเนื้อเพลง (ให้ตายเถอะ ฟังไปโดยไม่รู้ชื่อเพลงสักนิดเดียว) เล่าถึงแม่มีลางสังหรณ์ คดข้าวเหนียวออกไปให้ลูก ส่วนเจ้าตัวลูกชายก็โมโหหิวจนเห็นข้าวที่แม่นำมาให้มีเพียงน้อยนิด และตีแม่จนล้มลง เมื่อกินอิ่มก็พบว่ามันกินไม่หมด หันไปหาแม่ก็พบว่าแม่นอนนิ่งอยู่ข้างๆ
ตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้ แม้เพียงผ่านมา ๓ วัน คนไข้คนหนึ่งที่พยายามดิ้นรนจะมีชีวิตรอด เธอได้สอนผมให้เข้าใจว่า "การดูแลด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์" นั้นมีความหมายว่าอะไร และผมก็ค้นพบบทสรุปบางอย่างที่มีความขัดแย้งกับวลีดังกล่าวอย่างสิ้นเชิงดังจะเล่าให้ฟัง
เธอคนนี้เป็นหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคหัวใจ และเป็นชนิดที่มีความเสี่ยงที่จะตายสูงมากหากเธอตั้งท้อง เธอสามารถผ่านการตั้งท้องและคลอดลูกคนแรกมาได้อย่างทุลักทุเล อาการแรงดันในหลอดเลือดปอดของเธอสูงจนมีอาการไอเป็นเลือดในครั้งนั้น แต่ทีมหมอของเราก็เก่งพอที่จะช่วยให้เธอรอดตายในครั้งนั้นมาได้ และเราก็ฝังยาคุมกำเนิดให้เธอ เพื่อไม่ให้เธอมีลูกอีกครั้ง
ผมพบเธอครั้งแรกเมื่อเกือบ ๙ เดือนก่อน คุณหมอใช้ทุนรายงานว่า เธอตั้งท้องอีกครั้งเพราะไปเอายาคุมที่ฝังไว้ที่ท้องแขนออกก่อนกำหนดเวลา เรารีบปรึกษาหมอหัวใจในทันที และคำตอบก็ออกมาตรงกันระหว่างทีมเรากับทีมหัวใจ ก็คือ เธอจะมีโอกาสตายหากการตั้งครรภ์ดำเนินต่อไป
"ทำแท้งเถอะนะ" ผมสรุปกับเธอและญาติๆที่มากันเกือบจะทั้งหมู่บ้าน
"ท้องที่แล้วยังไม่เห็นเป็นไรเลยหมอ" เธอต่อรอง
"ใช่ ท้องที่แล้วไม่เป็นไร แต่ไอ้ที่ไอจนออกเลือด กับตอนที่เหนื่อยจนแทบจะตายน่ะ จำไม่ได้เหรอ" ผมยังคงไม่ละความพยายาม
การต่อรองในวันแรกไม่ประสบผล เธอและญาติๆรวมทั้งสามียังคงต้องการเวลาในการตัดสินใจ เราจึงนัดเธอกลับมาอีกครั้งสัปดาห์ถัดไป และการต่อรองก็ยังคงเป็นไปแบบเดิมๆ เธอและครอบครัวยังคงไม่อยากจะทำแท้ง แม้เราจะบอกว่า มีความเสี่ยงที่จะตายสูงมากจากการตั้งท้อง
จนครั้งที่ ๓ ที่ได้เจอกัน เธอบอกทีมเราว่า "หนูยอมตาย" และเธอก็เดินจากเราไป
คุณหมอทราย ลูกศิษย์ของผมพยายามโทรศัพท์ไปติดต่ออีก ๒-๓ ครั้ง และปลายสายจะวางโทรศัพท์โดยไม่ยอมพูดด้วยเลย
ผมมาทราบอีกครั้ง ว่าเธอไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลอำเภอ และถูกส่งตัวไปรับการดูแลต่อในโรงพยาบาลศูนย์ประจำจังหวัด
"หมอ ม.อ.จะทำแท้งอย่างเดียว" คือสิ่งที่เธอไปบอกหมออีกที่หนึ่ง
เมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อน เราได้เจอแม่คุณคนนี้อีกครั้งเพราะถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลของเราด้วยเรื่องเดิม "เพื่อรับการรักษาต่อ" ตอนนั้นอายุครรภ์ ๓๒ สัปดาห์เข้าไปแล้ว เธอยังคงดูแข็งแรง
ผมไม่ได้เจอคนไข้เองหรอก แบบนี้มักจะมีดวงชะตาถูกโฉลกกับพี่เปิ้ล หมอสูติผู้ถูกธรรมชาติคัดสรรให้มาฉุดคนไข้ให้หลุดพ้นจากความตายมานักต่อนัก
พี่เปิ้ลสั่งให้นอนโรงพยาบาลทันที และแม้เธอจะไม่ยอมในสัปดาห์แรก แต่เธอก็ยอมนอนโรงพยาบาลในสัปดาห์ต่อมาพร้อมกับคำร้องขอว่า "หนูยังไม่อยากตายนะหมอ หนูอยากเลี้ยงลูก"
ในใจผมตอนนั้นมันปรี๊ดแตก แอบด่าในใจเมื่อทราบข้อความมาจากพี่เปิ้ล
จะบ้าเหรอ ตอนนั้นบอกยอมตาย มาถึงตอนนี้ดันกลัวตาย
หากทำแท้งไปตอนนั้น ความเสี่ยงมันก็จบไปแล้ว
แล้วใครสั่งให้ไปเอายาคุมออกวะ (แล้วก็มีหมอบ้าจี้เอาออกให้ด้วย) (วงเล็บที่ ๒ ทราบมาว่า เรื่องบ้าจี้แบบนี้ยังมีอีก ที่มีคนไข้โรคหัวใจอีกคนไปขอหมอให้ต่อหมัน ไอ้หมอมันก็บ้าจี้ขนาดหนัก ไปต่อหมันให้จนท้อง แล้วเมื่อท้อง ไอ้หมอคนนั่นมันก็ส่งคนไข้มาฝากครรภ์ต่อ แล้วหมอที่ดูแลต่อก็คือ พี่เปิ้ล อีก)
บ้าเอ๊ย แบบนี้ให้จ่ายตังค์ค่ารักษาให้หมดเลย โรคหมอห้ามท้องเอ็งยังไปทำจนท้อง แบบนี้ต้องให้จ่ายเงินเองเสียบ้าง
ทั้งหมดเป็นการสบถในใจล้วนๆ เพราะรู้สึกโกรธ โกรธโดยที่ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมต้องโกรธ
พี่เปิ้ลเสียอีกที่ดูแลคนไข้ต่อจากผมอย่างดี วางแผนให้คลอดในทันทีก่อนที่หัวใจจะเหนื่อยจนขี้เกียจเต้น เธอติดต่อหมอหัวใจ หมอผ่าตัด หมอดมยาสลบ แล้วจัดการผ่าท้องคลอดให้
เช้าวันนั้นพี่เปิ้ลยุ่งแต่เช้า ติดต่อคนทุกคนให้เตรียมพร้อมและมาช่วยกัน อาจารย์ดมยา ๓ คนมาช่วยดูแลขณะผ่าตัด อาจารย์หมอสูติผ่าตัดร่วมกัน ๒ คน ส่วนผมนั่งเป็นพระประธานเพราะพี่เปิ้ลไม่ยอมให้เข้าเคส
ผมเดินไปจับมือคนไข้ แต่เธอไม่ยอมสบตาผม
ด้วยวลีที่ว่า "การดูแลด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์" สอนอะไรผมบ้าง
ผมกลับรู้สึกว่า ความเป็นมนุษย์ด้วยกันไม่ได้ทำให้เรารักคนไข้มากขึ้นหรอก มนุษย์มีความรู้สึกโกรธ มนุษย์รู้สึกขี้เกียจ มนุษย์รู้สึกอยากหนีออกจากความยากลำบาก มนุษย์อาจจะไม่ชอบการเผชิญหน้ากับความกลัว
มนุษย์หมอไม่ได้รักคนไข้ทุกคน มนุษย์หมอไม่ได้ขยันทุกคน มนุษย์หมอไม่ได้ใจดีไปเสียทุกเรื่อง และอีกมากมายที่มนุษย์หมอก็คือมนุษย์ปกติอย่างเราๆนั่นเอง
เห็นไหม การดูแลด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์มันไม่ได้เข้ามากินในใจผมเลยสักนิด
แต่สิ่งหนึ่งที่คนไข้คนนี้และพี่เปิ้ลได้สอนผมมากมายก็คือ "การยึดถือประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง" ต่างหาก ที่ทำให้พวกหมออย่างเราๆพยายามช่วยเหลือคนไข้อย่างเต็มความสามารถ
คนไข้คนนี้ก็เป็นมนุษย์ รักตัว กลัวตาย และอยากอยู่เลี้ยงลูก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอดำเนินชีวิตมาจนถึงตอนนี้ แบบนี้ ก็เพราะเธอเองก็เป็นมนุษย์ที่มีบริบทชีวิตแตกต่างกันไป เขาไม่ใช่เรา และเราก็ไม่ใช่เขา
ท่านผู้หนึ่งสอนผมให้พิจารณาในเรื่องนี้ว่า "นั่นคือความไม่เที่ยงของใจคน วันหนึ่งยอมตาย วันหนึ่งไม่ยอมตาย ด้วยมีเหตุและปัจจัย ทุกสรรพสิ่งแปรไปได้ตลอด"
พี่เปิ้ลพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้คนไข้คนนี้ได้รับบริการที่ดี มีมาตรฐานที่สุด ปลอดภัยที่สุด แม้จะต้องใช้ทรัพยากรมากมาย ทั้งหมอ ทั้งยา ทั้ง ICU ทั้งเครื่องมือแปลกๆมากมาย พี่เปิ้ลก็ต้องหามาดูแลคนไข้คนนี้จนได้ ยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน เหนื่อยเพียงไร พี่เปิ้ลก็อาสามาจัดการ
ผมคิดว่า นี่ต่างหากที่เป็นการยังประโยชน์เพื่อคนไข้จริงๆ มากกว่าจะมามัวคิดว่า เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา
มาลุ้นกันต่อไป ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
ผมถอยรถจอดสนิท ตัดสินใจยังไม่ลงจากรถ เพราะเพลงแหล่ที่กำลังฟังอยู่นั้นมันไพเราะจับใจ และเนื้อหาที่ตรึงตามาจากโรงหนังอุดมรัตน์มันทำให้ผมเห็นภาพป้าทองถูกลูกตีจนล้มลง ผมกำลังรื้อฟื้นมันตามเนื้อร้อง
แต่พลันที่ร้องมาจนถึงท่อนนี้ ผมตัดสินใจปิดเครื่องเสียงทันที
ผมคงทนฟังมันต่อไปไม่ได้ครับ ทนไม่ได้จริงๆ
นี่มันกี่โมงแล้ววะ นั่งฟังเพลงเพลินจนเกือบเลยเวลานัด หยิบกระเป๋าได้แล้วจึงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
บ้าจริง
ธนพันธ์ ชูบุญดราม่าไปวันๆ
๑๙ พย 5๗
like : " มนุษย์หมอไม่ได้รักคนไข้ทุกคน มนุษย์หมอไม่ได้ขยันทุกคน มนุษย์หมอไม่ได้ใจดีไปเสียทุกเรื่อง และอีกมากมายที่มนุษย์หมอก็คือมนุษย์ปกติอย่างเราๆนั่นเอง "
เป็นกำลังใจให้นะครับ
มนุษย์หมอที่จะเขียนบอกเล่าความในใจได้ขนาดนี้ก็ไม่ได้มีเยอะด้วยค่ะ อ่านแล้วได้หลายอารมณ์มากๆเลยค่ะ เข้าใจและไม่เข้าใจ นี่แหละ"คน"
ขอบคุณมนุษย์ป้าโอ๋ด้วยเช่นกัน ที่อุตส่าห์มาอ่านซ้ำ หลังจากที่อ่านไปเป็นคนที่ ๒ ตั้งแต่เมื่อตอนเที่ยงคืนกว่าๆทาง เฟซบุ๊